“แซมบ้า” VS “อินทรีเหล็ก” จากฟุตบอลโลกสู่โอลิมปิก

เอ่ยถึงชื่อ บราซิล ในวงการฟุตบอล ถือเป็นชื่อน่าเกรงขาม การันตีด้วยตำแหน่งแชมป์โลกสูงสุด 5 สมัย แต่ทีมลูกหนังแซมบ้าในยุคหลังกลับไม่สามารถรักษามาตรฐานที่เคยยิ่งใหญ่ของตัวเองเอาไว้ได้

บราซิลลงแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้งหลังสุด ตกรอบก่อนรองชนะเลิศ 2 ครั้ง คว้าอันดับ 4 อีกครั้ง ส่วนผลงานในฟุตบอลโคปา อเมริกา 3 หนหลัง ก็จอดแค่รอบก่อนรองชนะเลิศ 2 ครั้ง ตกรอบแบ่งกลุ่มครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่การลงสนามฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์ 12 ครั้ง ยอดทีมอย่างบราซิลกลับไม่เคยคว้าเหรียญทองได้เลย และได้เหรียญเงินมา 3 ครั้ง กับเหรียญทองแดงอีก 2 ครั้ง

กรณีของทีมชุดใหญ่ถือเป็นความผิดหวังของชาวบราซิเลียนทั้งประเทศ เพราะไม่ว่าจะเปลี่ยนโค้ชมาแล้วกี่คน ทั้ง ดุงก้า, หลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ จนกลับมาดุงก้าอีกรอบ ก็ยังไม่เกิดผล ตอนนี้จึงหันไปหา ตีเต้ แทน และยังไม่รู้ว่าจะฟื้นกลับมาเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการเมื่อไร

ส่วนทีมชุดเล็กอายุไม่เกิน 23 ปี ในโอลิมปิกเกมส์นั้น ก็ถือเป็นความล้มเหลวอย่างเหลือเชื่อเข้าไปอีกสำหรับทีมที่มีดีกรีระดับโลกมากมายอย่างนี้ ผิดกับ อาร์เจนตินา เพื่อนบ้านและคู่ปรับตลอดกาลซึ่งถึงจำนวนเหรียญรวมจะน้อยกว่า แต่อย่างน้อยก็เคยเป็นแชมป์มาแล้ว 2 สมัย ใน เอเธนส์เกมส์Ž ปี 2004 และ ปักกิ่งเกมส์Ž ปี 2008

Advertisement

เพราะฉะนั้น เมื่อบราซิลได้โอกาสเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่นครรีโอเดจาเนโร ในครั้งนี้ พวกเขาจึงหมายมั่นปั้นมืออย่างที่สุดว่าจะต้องคว้าเหรียญทองให้ได้ ถึงขั้นให้ เนย์มาร์ กองหน้าซุปเปอร์สตาร์จาก บาร์เซโลน่า เก็บตัวไม่ต้องร่วมทีมชุดใหญ่ไปแข่งขันโคปา อเมริกา ฉบับฉลองครบรอบ 100 ปี เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เพื่อให้เป็น 1 ใน 3 โควต้านักเตะอายุเกิน ร่วมลุ้นแชมป์ในคราวนี้ รวมทั้งให้นักเตะชุดยู-23 ที่เล่นอยู่ในลีกบ้านเกิดได้พักให้เต็มที่ด้วย

หลังจากเริ่มต้นรอบแรกอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ด้วยการเสมอ 2 นัด ชนะเพียงนัดเดียว บราซิลก็เริ่มตั้งหลักได้ ด้วยการเชือด โคลอมเบีย 2-0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และถล่ม ฮอนดูรัส 6-0 ในรอบรองชนะเลิศ ผ่านเข้าไปชิงกับ เยอรมนี ที่มีสถิติชนะ 1 เสมอ 2 เช่นกันในรอบแรก ก่อนเชือด โปรตุเกส 4-0 และชนะไนจีเรีย 2-0 ในรอบน็อกเอาต์

แม้จะต่างกรรมต่างวาระ แต่การดวลแข้งกับอินทรีเหล็กก็ชวนให้แฟนกีฬาแซมบ้าหวนคิดถึงความปราชัยอย่างย่อยยับ 1-7 ให้กับยักษ์ใหญ่แห่งยุโรป คาบ้านตัวเองเมื่อครั้ง ฟุตบอลโลก 2014 ได้เป็นอย่างดี

Advertisement

นอกจากชัยชนะที่พวกเขาต้องการจะเป็นการคว้าเหรียญทองฟุตบอลโอลิมปิกหนแรกและการลบฝันร้ายจากความพ่ายแพ้ครั้งที่ยับเยินที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว ยังเปรียบเสมือนของขวัญชั้นดีให้กับเพื่อนร่วมชาติทั้ง 200 ล้านคนในช่วงที่บราซิลต้องเผชิญกับสารพันปัญหาทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสาธารณสุขด้วย

ยิ่งเมื่อทีมฟุตบอลหญิงของบราซิลที่นำโดยสตาร์ดังอย่าง มาร์ต้า พลิกตกรอบรองชนะเลิศไปก่อนหน้านี้ น้ำหนักที่เนย์มาร์และเพื่อนต้องแบกไว้บนบ่าในนัดชิงชนะเลิศวันเสาร์นี้ย่อมมากขึ้นไปอีก

สำหรับเจ้าภาพ นอกจากจะมีเนย์มาร์เป็นผู้นำทัพ ยังร่วมด้วย กาเบรียล บาร์โบซ่า เจ้าของฉายา ”กาบิโกล”Ž กองหน้าวัย 19 ปีของทีมซานโต๊ส ที่สื่อบ้านเกิดยกย่องให้เป็น “นิวเนย์มาร์”Ž และ กาเบรียล เฮซุส กองหน้า พัลไมรัส ซึ่งเพิ่งเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นกำลังสำคัญ

แน่นอนว่าการเล่นต่อหน้าเพื่อนร่วมชาติ และหลังจากเสมอกับอิรักและแอฟริกาใต้แบบไร้สกอร์จนโดนโห่ ทีมแซมบ้าจะต้องเปิดเกมบุกเพื่อเอาใจแฟนบอลเหยียบแสนในสนามเก่าแก่อย่างมาราคาน่าอย่างแน่นอน

ขณะที่เยอรมนีชุดนี้ไม่มีผู้เล่นคนไหนที่เคยลงเล่นในเกมประวัติศาสตร์รอบรองชนะเลิศกับบราซิลเมื่อ 2 ปีที่แล้วเลย โดยกองหลังตัวหลักของอินทรีเด็กชุดนี้ แมทเธียส กินเทอร์ มีชื่อติดทีมชาติชุดแชมป์โลกก็จริง แต่ไม่ได้ลงสนามตลอดทัวร์นาเมนต์นั้น

น่าสนใจที่เยอรมนีแม้จะได้ชื่อว่าเป็นแชมป์โลก 4 สมัย และแชมป์ยุโรป 3 สมัย แต่ผลงานในโอลิมปิกเกมส์ย่ำแย่ยิ่งกว่าบราซิล เพราะเคยได้เหรียญทองแดงแค่ 2 ครั้งในปี 1964 และ 1988 แถมโอลิมปิกเกมส์ 6 ครั้งหลังสุด ไม่ผ่านรอบคัดเลือกด้วยซ้ำ!

โอลิมปิกหนนี้ กุนซือ ฮอร์สต์ ฮรูเบช จงใจละบรรดาแข้งอายุต่ำกว่า 23 ปีซึ่งเป็นสตาร์ดังชื่อคุ้นหูแฟนบอลเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น เลรอย ซาเน่, เอ็มเร่ ชาน หรือ โจชัว คิมมิช แต่เรื่องแนวรุกของเยอรมนีก็ไม่น้อยหน้าเจ้าภาพ มีทั้ง เซิร์จ เกอร์นาบรี้ ของอาร์เซน่อล ที่รอบแรกยิงไป 5 ประตู, ยูเลียน แบรนด์ต ของไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น และ มักซ์ เมเยอร์ ของชาลเก้

อินทรีเหล็กชุดโอลิมปิกเกมส์มาอีหรอบเดียวกับทีมชุดใหญ่คือ ยิ่งเล่นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากที่เสมอกับเม็กซิโก 2-2 ต่อด้วยเสมอเกาหลีใต้ 3-3 และมาถล่มฟิจิ 10-0 แล้วก็ชนะมาตลอดเหมือนบราซิล

แน่นอนว่าสำหรับรอบชิงชนะเลิศซึ่งตรงกับเวลาไทย ตีสามครึ่ง คืนวันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม เจ้าภาพย่อมได้เปรียบเรื่องเสียงเชียร์ แต่ขณะเดียวกันก็กลายเป็นความคาดหวังที่หนักอึ้ง เพราะไม่ใช่แค่บอลหญิงตกรอบไปแล้ว

แม้แต่ทีมวอลเลย์บอลหญิง ซึ่งเป็นแชมป์เก่าก็พลิกร่วงตั้งแต่รอบก่อนรองชนะเลิศเช่นกัน ยิ่งเยอรมนีได้ชื่อว่าแข็งแกร่งเรื่องจิตใจและพร้อมเจาะจุดอ่อนของคู่ต่อสู้อยู่แล้ว จึงถือเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ และอาจจะน่ากลัวที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้สำหรับเจ้าภาพ

สุดท้ายจะกลายเป็นการ ล้างแค้นŽ หรือ ย้ำแค้นŽ อีกไม่กี่อึดใจก็ได้รู้กันแล้ว!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image