รวมดราม่าศึกแดงเดือด เมื่อเราพลิกโอกาสให้เป็นวิกฤต!

รวมดราม่าศึกแดงเดือด เมื่อเราพลิกโอกาสให้เป็นวิกฤต!

การได้เป็นเจ้าภาพจัดเกมระดับโลกอย่าง “ศึกแดงเดือด” ขึ้นครั้งแรกบนเวทีเอเชีย มันควรจะเป็นการสร้างโอกาสต่างๆ ให้กับประเทศไทย ได้เปิดให้ทั่วโลกได้เห็นถึงความสามารถ ความพร้อม ในการรับมืองานระดับโลกแบบนี้

ทว่าประเทศไทยกลับทำให้มันวุ่นวาย กลายเป็นวิกฤติไปซะอย่างนั้น

การแข่งขัน “The Match Bangkok Century Cup 2022” ศึกแดงเดือดระหว่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่จะมาฟาดแข้งกันบนแผ่นดินเอเชียครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้

ในความเป็นจริงแล้วเราต้องชื่นชมโต้โผใหญ่อย่าง “เสี่ยวินิจ” วินิจ เลิศรัตนชัย ที่กล้า บ้า และห้าวเป้งมากๆ ในการดีลแมตช์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกคู่หนึ่งมาเตะกันในเมืองไทยได้

Advertisement

เพราะการจะจัดการแข่งขันระดับนี้ขึ้นมาได้ ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าพันล้านบาทจึงจะสำเร็จ

ถ้ามองในแง่ของการจัดแข่งขันถ้าประสบความสำเร็จ ก็มีโอกาสที่จะสร้างเงินหมุนเวียนให้เกิดขึ้นในประเทศถอนทุนคืนได้เช่นกัน

Advertisement

แต่ทว่าด้วยการวางแผนหลายๆ อย่างที่ถือว่าผิดพลาดออกมา ทำให้ทุกอย่างมันดูเละเทะ และวุ่นวายไปเสียหมด จนกลายเป็นเกมฟุตบอลที่มีดราม่านอกสนามมากยิ่งกว่าแมตช์ใดๆ ในโลกเลยก็ว่าได้

เอาจริงๆ แค่เริ่มที่ประกาศออกมาว่าจะมีเกมแดงเดือดเกิดขึ้นประเทศไทย ก็เจอดราม่าลูกแรกเข้าจังเบ้อเริ่ม เพราะดันมีข่าวว่าฝ่ายจัดการแข่งขันทำเรื่องของบประมาณสนับสนุนจัดการแข่งขันครั้งนี้จาก การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ด้วยวงเงินสูงถึง 400 ล้านบาท

แน่นอนว่าในช่วงที่ภาวะ โควิด-19 ยังระบาดอยู่ในประเทศไทย อีกทั้งประเทศไทยเองอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพง การจะนำเงิน 400 ล้านบาทมาลงให้กับการแข่งขันฟุตบอลแค่นัดเดียว ย่อมมีคนไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก จนเกิดเป็นกระแสด้านลบขึ้นมา สุดท้ายฝ่ายจัดการแข่งขันต้องรีบออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้ขอเป็นเงิน แค่ขอเป็นการอำนวยความสะดวกต่างๆ เท่านั้น

ด้วยความที่เกมการแข่งขันนี้ต้องใช้งบประมาณในการจัดการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง แต่ทว่าสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือราชมังคลากีฬาสถาน จุผู้ชมได้ราวๆ 51,000 คน ฝ่ายจัดการแข่งขันจึงได้วางแผนปรับสนาม เพิ่มที่นั่งผู้ชมบนลู่วิ่งขึ้นมา ทำให้สนามเพิ่มขึ้นจุได้ราวๆ 60,000 คน

แต่ต่อให้เพิ่มที่นั่งขึ้นมาแล้ว การจะทำให้เกมนี้ผู้จัดได้กำไร มันก็ต้องได้จากการค่าบัตรเข้าชมที่แฟนบอลจะซื้อเข้ามาชม และมีการคาดการณ์ว่ามันจะถูกขายหมดอย่างรวดเร็ว

ทว่าด้วยการวางราคาบัตรสูงมากๆ ราคาต่ำสุดคือ 5,000 บาท ซึ่งมีอยู่จำนวนไม่มาก ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ที่ 7,000 / 12,000 / 15,000 / 20,000 / 22,000 และสูงสุดที่ 25,000 บาท

ซึ่งมันแพงมากๆ เพราะถ้าเทียบค่าบัตรเข้าไปดูใน แอนฟิลด์ แบบฟูลแพ็คเกจ อยู่ที่ราวๆ 20,000 บาทเท่านั้น (อาจจะยังไม่ได้รวมค่าเดินทางต่างๆ) ดังนั้นถ้าวัดแค่ค่าตั๋วล้วนๆ ไปดูที่อังกฤษยังถูกกว่าเลย

หนำซ้ำ เมื่อลิเวอร์พูล ประกาศเกมอุ่นเครื่องอีกหนึ่งนัดออกมาที่ ประเทศสิงคโปร์ ถึงแม้จะเจอแค่ทีมระดับ คริสตัล พาเลซ แค่ค่าตั๋วถูกสุดอยู่ที่ 3,800 บาทเท่านั้น ขณะที่ตั๋วแพงสุดอยู่ที่ 7,500 บาทเท่านั้น ดังนั้นถ้าหากคนที่เป็นแฟนบอลลิเวอร์พูลจริงๆ ไม่ได้สนใจว่าจะต้องได้ดูเกมที่เจอกับแมนฯ ยูไนเต็ด ก็เลือกจะซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางไปดูที่สิงคโปร์ดีกว่า เพราะค่าตั๋วบอลบวกค่าเดินทาง ค่าโรงแรม เผลอๆ ยังไม่ถึง 25,000 บาทเลยด้วยซ้ำ แถมยังได้บินไปเที่ยวสิงคโปร์อีกต่างหาก

อีกจุดสำคัญคือ ราคาค่าบัตรมันไม่เหมาะสมกับสิ่งที่จะได้รับมา ลองนึกสภาพคนซื้อตั๋วราคา 15,000 บาท กลับต้องไปอยู่โซน W3 หรือ E3 ซึ่งแถวบ้านเรียกว่าติดดอยเลยก็ว่าได้ มองเห็น โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ตัวเท่ามด

และต้องอย่าลืมว่านี่คือนัดแรกในช่วงปรีซีซั่นของทั้งสองทีม จะคาดหวังให้หวดกันแบบเต็มที่คงไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน

ฉะนั้นเมื่อราคาค่าตั๋วมันดูสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจของคนไทยในเวลานี้ แน่นอนคนอยากดูมี แต่บางคนไม่ถึงขั้นอยากลงทุนเอาเงินหลักหมื่นในช่วงเวลานี้ไปเพื่อความสุขเพียงไม่กี่ชั่วโมง (แถมยังไม่เต็มอิ่มอีกด้วย) มันจึงเกิดอาการบัตรขายไม่หมดนั้นเอง

ในขณะที่เวลามันเหลืออยู่ไม่ถึงเดือน การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น ถ้าบัตรขายไม่หมดหลัก 1-2 หมื่นใบ มันเท่ากับว่าพื้นที่ในสนามจะเกิดความโหวงขึ้นมา คือแมตช์ระดับลิเวอร์พูล เจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประเทศไทยขายบัตรไม่หมด คนไม่เต็มสนาม จากที่จะสร้างชื่อเสียง กลายเป็นสร้างชื่อเสียให้กับประเทศแทน

ซึ่งอย่างที่รู้ว่าต้นทุนการจัดการแข่งขันมันสูงอยู่แล้ว ผู้จัดดันไปทำให้มันสูงขึ้นอีกด้วยการนำเอา แจ็คสัน หวัง ศิลปินชื่อดังจากวง Got7 ซึ่งมีแฟนคลับในประเทศไทยจำนวนมาก เปิดมินิคอนเสิร์ตก่อนการแข่งขัน 1 ชั่วโมง เพื่อหวังให้เหล่า อากาเซ่ ช่วยกันซื้อตั๋วเข้ามาชมเกมการแข่งขัน

แต่สุดท้ายผลมันออกมาตรงกันข้าม เพราะผู้จัดคงลืมคิดไปว่ากลุ่มเป้าหมายของคนดูฟุตบอล กับคนดูแจ็คสัน หวัง มันคนละกลุ่มโดยสิ้นเชิง

อีกทั้งบัตรเข้าชมที่เหลือมันเป็นราคาระดับ 12,000 / 15,000 / 20,000 ฉะนั้นจะให้เหล่าอากาเซ่ซื้อตั๋วเข้ามาชมมินิคอนเสิร์ต 1 ชั่วโมง ที่ได้เห็น แจ๊คสัน หวัง ยืนตัวเท่ามด (เหมือนซาลาห์-โรนัลโด้ ที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้) ทว่าในทางกลับกัน ค่าบัตรคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลีเวลามาเล่นในเมืองไทย ยังไม่เคยขึ้นถึงระดับหมื่นด้วยซ้ำ แถมบัตรแพงสุดได้เห็นแบบชัดๆ ดูคอนเสิร์ตเต็มๆ 2-3 ชั่วโมง แล้วแฟนคลับที่ไหนจะซื้อตั๋วมาเข้าชม

มันจึงกลายเป็นดราม่าต่อมา เมื่ออยู่ดีๆ บัตรที่เหลือราว 20,000 ใบที่ยังขายไม่หมด กลับไปอยู่ในมือของแม่ค้าแห่งยุคนี้อย่าง “พิมรี่พาย” ที่ขายอะไรก็ปัง ขายอะไรคนก็ตามไปซื้อกันหมด แถมยังเอามาขายในราคาแบบขาดทุน 20,000 บาท ขายแค่ 15,000 บาท ขณะที่บัตร 15,000 บาท ขายแค่ 11,000 บาทเท่านั้น

 

ซึ่งว่ากันด้วยกฎของการตลาด มันพอจะเข้าใจได้ว่า เมื่อถึงเวลาใกล้ตลาดวาย ของจำเป็นต้องขายให้หมดไม่งั้นมันจะเน่าเสียหาย สิ่งที่เถ้าแก่จะทำได้ มันคือการลดราคาของ เพื่อให้คนยอมกลับมาซื้อ

แต่แน่นอนว่านี่มันเป็นสินค้าประเภทบริการ การที่จะลดราคาค่าเข้าชม มันไม่แฟร์กับคนที่ซื้อตั๋วในราคาเต็มก่อนหน้านี้ เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนจะได้รับชมเกมนี้พร้อมกันในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้ต่างหาก ฉะนั้นถ้าหากจะลดราคา มันก็ต้องมีสิทธิพิเศษ หรือการชดเชยให้กับผู้ที่ซื้อตั๋วในราคาเต็มตั้งแต่วันแรกๆ

มันเลยต้องหาคนกลางออกมาขายบัตรแบบเลหลังแบบนี้ เพราะมันยากที่จะเชื่อมากๆ ว่า พิมรี่พาย ในฐานะคนทำธุรกิจ จะยอมลงมาเล่นเกมที่ตัวเองรู้ว่าจะต้องขาดทุนแบบนี้ตั้งแต่ต้น

เพราะในแถลงการณ์แต่ละครั้งของฝ่ายจัดแข่งขัน มักจะมีโป๊ะ ให้โลกโซเชียลสามารถจับได้หลายต่อหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบอกว่าบัตรที่เหลือมาจากการส่งให้สโมสรไปขายชาวต่างชาติ แต่ขายไม่ได้จึงตีกลับมา ทว่าในความเป็นจริง สโมสรไม่เคยนำบัตรไปขายเลย มีแต่แจ้งแฟนบอลต่างประเทศว่าใครสนใจให้เข้าไปจองได้ในอเว็บไซต์ ไทยทิคเกตเมเจอร์ เท่านั้น

ฝ่ายจัดการแข่งขันคงอาจจะลืมไปว่าโลกยุคปัจจุบันมันหาข้อมูลกันได้ง่าย และคนดูฟุตบอลจนมีเงินซื้อบัตรแดงเดือดได้ ก็คงจะมีช่องทางในการหาข้อมูลที่ไม่ยากเท่าไหร่นัก

หนำซ้ำด้วยกลยุทธ์การขายแบบพิมรี่พาย ที่นำเอา “บัตรทานข้าว” ดินเนอร์มื้อพิเศษกับทั้งนักเตะชุดใหญ่ทั้งสองทีม รวมถึง แจ็คสัน หวัง ออกมาเป็นเหยื่อล่อให้คนซื้อบัตร แต่กลับลืมไปว่ายุคสมัยปัจจุบันคนต่อต้านเรื่องสิทธิพิเศษแบบนี้อย่างมาก โดยเฉพาะแฟนคลับศิลปินเกาหลี มันเลยกลายเป็นกระแสตีกลับแบบทันทีทันใด

ซึ่งก็น่าแปลกใจว่าสองสโมสรที่เป็นอริกันมาโดยตลอดอย่างลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จับมือแถลงร่วมกันถึงกรณีนี้ว่าไม่สนับสนุนการนำบัตรออกมาขายต่ออย่างไม่ถูกต้อง (ตามช่องทางทางการ) รวมถึงไม่พอใจกับการให้ข้อมูลแบบผิดๆ กับแฟนบอลว่าจะมีการรับประทานอาหารร่วมกับนักเตะชุดใหญ่ รวมถึงฝั่งของต้นสังกัดแจ๊คสัน หวัง ก็ออกมาแถลงเช่นกันว่าไม่มีการรับประทานอาหารร่วมโต๊ะใดๆ ทั้งสิ้น

อาจจะต้องชมว่าประเทศไทยเก่งมากๆ ที่ทำให้ทั้ง 3 ฝ่าย สามารถประสานงานกันได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย

สุดท้าย เสี่ยวินิจ ออกมาขอโทษและขอรับผิดเรื่องทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว และจะพยายามทำงานนี้ออกมาให้ดีที่สุด

แน่นอนว่าด้วยเวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก เกมการแข่งขันนี้คงต้อง “The Show Must Go On” มันต้องเดินหน้าต่อไป เพียงแต่ผลกระทบที่จะตามมาหลังจากนี้ อาจจะค่อนข้างหนักทีเดียว

ทั้งภาพสนามที่มีโอกาสสูงว่ามันจะไม่เต็มความจุ เป็นการบ่งบอกว่าประเทศไทยยังไม่พร้อมสำหรับงานใหญ่แบบนี้หรือเปล่า

รวมไปถึงการสร้างปัญหาจนทำให้ทีมฟุตบอลทั้งสองทีม รวมถึง แจ็คสัน หวัง ออกมาแถลงการจวกฝ่ายจัด อาจจะทำให้หลังจากนี้ไทยอาจจะดีลงานใหญ่ๆ ที่มีทั้ง 3 ส่วนมาร่วมงานด้วยเป็นเรื่องยากมากขึ้นด้วย

ฉะนั้นคงต้องเรียกว่างานนี้ พลิกโอกาสให้เป็นวิกฤตแท้ๆ เลย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image