‘บิ๊กก้อง’ หวัง ‘วาด้า’ ปลดล็อกไทยเร่งด่วน มั่นใจธงไทยโบกในเอเชี่ยนเกมส์แน่นอน

‘บิ๊กก้อง’ หวัง ‘วาด้า’ ปลดล็อกไทยเร่งด่วน มั่นใจธงไทยโบกในเอเชี่ยนเกมส์แน่นอน

หลังจากที่ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา พ.ศ.2555 พ.ศ.2564 แล้วเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม หลังจากที่ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา

ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เวลานี้ถือว่าได้ประกาศเป็นกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว หลังเทศกาลปีใหม่ รัฐบาลไทย, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย จะส่งเรื่องไปยัง วาด้า เพื่อขอปลดล็อกสิ่งที่ประเทศไทยโดนแบนอยู่ทั้ง 4 ประเด็นทันที ทั้งเรื่องการเข้าเป็นกรรมการสหพันธ์กีฬานานาชาติ, การเข้าไปเป็นบอร์ดบริหารวาด้า, การใช้ธงชาติ และการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ซึ่งประเด็นการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจะได้รับปลดล็อกทันทีถ้าวาด้าพิจารณาว่ากฎหมายของเราสอดคล้องแล้ว แต่อีก 3 เรื่องจะต้องขอให้พิจารณาปลดล็อกภายในคราวเดียวกันเลย

“เรื่องการของการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในเวลานี้ถือว่าได้ปลดล็อกแล้ว ไม่มีปัญหา ส่วนที่ต้องขอให้ วาดาพิจารณาคือ การยกเลิกการแบน ธงชาติ, เพลงชาติ, การเป็นคณะกรรมการบริหารสหพันธ์กีฬานานาชาติ และการเป็นตัวแทน วาด้า ต่อไปและหาทุกอย่างลงตัวจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนจะได้รับการปลดล็อก อย่างไรก็ตาม หากไม่ลงตัว จะยื่นเสนอต่อ ศาลอนุญาโตตุลาการทางการกีฬา (ซีเอเอส) ซึ่งน่าจะใช้เวลา 1-3 เดือน แต่มั่นใจว่าทันต่อการปลดล็อกธงชาติไทยในเอเชียนเกมส์ ที่หางโจวแน่นอน”

ดร.ก้องศักดกล่าวต่อว่า คาดว่าวาด้าจะมีการประชุมช่วงปลายเดือนมกราคม แต่ทางไทยก็ได้ทำเรื่องแบบเร่งด่วนไปหลังปีใหม่นี้ทันที และขอให้มีการพิจารณาทันที อาจจะต้องมีการพูดคุยภายในเพื่อช่วยให้พิจารณาเร็วขึ้น ไม่ต้องรอการประชุมประจำเดือน

Advertisement

ผู้ว่าการ กกท.กล่าวเสริมว่า ส่วนข้อที่เปลี่ยนแปลงไปใน พ.ร.ก.ฉบับใหม่นั้น มีหลายประเด็น ได้แก่ การนิยามเช่น นักกีฬา, การแข่งขัน, การใช้สารต้องห้าม ซึ่งปัจจุบันไม่ใช่แค่การใช้สารต้องห้าม แต่การกระทำเช่นการปั่นเลือดให้ร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็นับเป็นการใช้สารต้องห้ามเช่นกัน / เรื่องขอบเขตการกระทำผิดเช่นถือครองสารต้องห้าม หรือการขยายผลผู้ที่เกี่ยวข้องก็จะมีขอบเขตที่กว้างกว่าเดิม

“เรื่องมาตราที่ 29 การตรวจสารต้องห้ามที่เดิมทีทำได้ตอนพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก แต่วาด้าได้ขยายถึงช่วงเวลากลางคืนด้วย ดังนั้นไทยก็แก้ไขให้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอนุญาโตตุลาการ ถ้าหากว่าคู่กรณีต้องการโต้แย้งก็สามารถทำได้ และยังมีการกำหนดโทษ, อุทธรณ์ ต่างๆ ครบถ้วนตามกฎบัตรวาด้าแล้ว”

บิ๊กก้องยังกล่าวด้วยว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกำหนดข้อกฎหมายในพ.ร.ก.เอาไว้แบบกว้างๆ สามารถเพิ่มเติมในกฎหมายลูกได้ ดังนั้นถ้าในอนาคตมีการแก้กฎบัตรวาด้า ก็จะสามารถแก้ไขได้ง่ายเหมือนประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เพราะตอนนี้สามารถแก้ไขได้ทันทีไม่ต้องรอเข้าคณะรัฐมนตรีอีกแล้ว

Advertisement

นอกจากนี้ ดร.ก้องศักดยังยืนยันว่าในประเด็นการต้องแยก หน่วยงานต่อต้านสารกระตุ้น ออกจาก หน่วยงานรัฐนั้น ตรงนี้ ไทยอาจจะยังไม่ได้แยกออกมาแต่มีกำหนดในกฎหมายชัดเจนในมาตรา 18 ซึ่งระบุว่าให้จัดตั้งสำนักงานควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬาเป็นหน่วยงานในการกีฬาแห่งประเทศไทย ที่มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติงาน และให้มีหน้าที่และอำนาจ

“ทางเราได้ส่งร่างกฎหมายให้หน่วยงานของวาด้า ในการพิจารณา และหารือร่วมกัน ณ เวลานี้ไม่มีปัญหาใดๆ เพราะกฎวาด้าเองไม่ได้กำหนดให้ หน่วยงานต้องแยกจากหน่วยงานรัฐ แต่หากในอนาคต เกิดมีประเด็นนี้ขึ้นมา ทางเราก็พร้อมจะแก้ไข” ดร.ก้องศักดกล่าวปิดท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image