ตามที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ มีนโยบายผลักดันให้ประเทศไทยเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ดำเนินการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย จากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) โดยได้เจรจากับภาคเอกชนจำนวน 7 แห่ง เพื่อร่วมกันลงขันซื้อลิขสิทธิ์เป็นเงินประมาณ 1,400 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.บริษัท คิงเพาเวอร์ 2.บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) 3.กลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพีเอฟ 4.บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (บีทีเอส) 5.บริษัท บางจาก จำกัด (มหาชน) 6.บริษัท กัลฟ์ อิเลคทริก จำกัด (มหาชน) หรือ “กัลฟ์” และ 7.ธนาคารกสิกรไทยนั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 เมษายน การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในฐานะเจ้าภาพดำเนินการในส่วนของภาครัฐ ในการประสานงานกับภาคเอกชน ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่คนไทยจะได้รับชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน-15 กรกฎาคม 2561 ผ่านฟรีทีวีแน่นอน 100 เปอร์เซนต์แล้ว โดย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้แถลงข่าวกรณีดังกล่าวด้วยตัวเอง ในวันที่ 30 เมษายน 2561 ที่บ้านเกษะโกมล ถนนพระราม 5 ในเวลา 13.30 น.
สำหรับการเจรจาของฝ่ายไทยที่ร่วมลงขันกันแห่งละ 200 ล้านบาท กับทางฟีฟ่า ต้องใช้เวลากว่า 3 เดือนจึงประสบความสำเร็จท่ามกลางความกังวลของแฟนบอลที่เกรงว่าจะไม่ได้ชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2018 โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขั้นตอนการเซ็นสัญญาระหว่างไทย กับฟีฟ่า ต้องสะดุดไปเพราะฟีฟ่า ระบุว่า คิงเพาเวอร์ ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนฝ่ายไทยไปเจรจากับฟีฟ่านั้น ไม่สามารถลงนามข้อตกลงร่วมกับฟีฟ่าได้เนื่องจากไม่มีช่องสถานีโทรทัศน์รองรับ ทำให้ไทยต้องส่งทรูวิชั่นส์ ซึ่งเป็นกิจการของกลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารไปลงนามสัญญาดังกล่าว กระทั่งเรียบร้อยอย่างเป็นทางการแน่นอนแล้ว
ทั้งนี้เป็นที่คาดกันว่า ช่องสถานีที่ประเทศไทยจะถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2018 จะมีไม่ต่ำกว่า 2 ช่อง โดยช่องแรกแน่นอนแล้วคือ ทรูวิชั่นส์ ซึ่งจะเปิดช่องพิเศษ “WORLD CUP” เพื่อรองรับการออกอากาศถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2018 ขณะที่อีกช่องสถานีคือ ช่องอัมรินทร์ ทีวี ซึ่งเป็นช่องสถานีที่มี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าของ
