5 ปียังไม่สาย กับเหรียญที่รอคอยของ ‘พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ’

5 ปียังไม่สาย กับเหรียญที่รอคอยของ ‘พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ’

วันนี้ชาวไทยได้ปลาบปลื้มกับฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์คนใหม่อีกครั้ง

“เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เด็กสาวที่มีชื่อเล่นเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง แต่เธอกลับกลายเป็นฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์จากกีฬาต่อสู้อย่าง “เทควันโด”

พาณิภัค เริ่มเล่นเทควันโดครั้งแรกเมื่ออายุ 9 ปี จากนั้นในปี 2554 ในช่วงอายุ 13 ปี ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 27 ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันเทควันโด รุ่นไม่เกิน 42 กิโลกรัมหญิงมาได้ จึงถูกเรียกตัวเข้ามาฝึกซ้อมและคัดเลือกเป็นนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย และได้ฝึกซ้อมเป็นระยะเวลา 10 ปี จึงติดทีมชาติไทยในที่สุด

เทนนิสเดินหน้ากวาดแชมป์มาเรื่อยๆ โดยเฉพาะในระดับประเทศ จนไปถึงระดับนานาชาติ และเริ่มมีชื่อเสียงด้านฝีมือมากขึ้น จากสไตล์การเล่นที่บุกอย่างดุเดือด และมีลูกเตะเข้าหัวแบบไม่เป็นรองใคร

Advertisement

จนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พาณิภัคในวัย 19 ปี กำลังห้าวและฟอร์มร้อนแรง สามารถเบียดรุ่นพี่อย่าง “เล็ก” ชนาธิป ซ้อนขำ คว้าตั๋วไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ครั้งแรกของตัวเองได้สำเร็จ

ณ เวลานั้น ไม่ว่าใครก็มองว่านี่คือนักกีฬาความหวังที่จะพาทัพเทควันโดของไทยไปถึงเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิกเกมส์ได้เสียที

เพราะก่อนหน้านี้นับตั้งแต่โอลิมปิกเกมส์ 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ “วิว” เยาวภา บุรพลชัย เป็นผู้เปิดตำนานเหรียญแรก นั่นคือเหรียญทองแดงมาครองได้ หลังจากนั้นประเทศไทยก็มีเหรียญจากเทควันโดกลับมาทุกครั้ง ทั้งปักกิ่ง 2008 กับ “สอง” บุตรี เผือดผ่อง กับเหรียญเงิน และลอนดอน 2012 กับ “เล็ก” ชนาธิป

Advertisement

แต่ด้วยความที่ประสบการณ์ยังน้อย อาจจะรวมถึงความตื่นเต้นของตัวพาณิภัคเอง ทำให้พลาดในรอบ 8 คนสุดท้าย ทั้งที่เป็นฝ่ายนำห่าง คิม โซฮุย คู่ปรับจากเกาหลีใต้ 4-2 และเหลือเวลาอีกไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่กลับพลาดโดนเตะเข้าที่หัว ทำให้สกอร์มันพลิกกลับมาเป็นฝ่ายตาม 4-5 แม้จะพยายามเร่งเตะในช่วงท้าย ก็ไม่ทันแล้ว

แม้สุดท้ายจะแก้ตัวในรอบเก็บตก แล้วคว้าเหรียญทองแดงมาได้ แต่มันก็ทำให้เธอยังมีภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จ และจะต้องกลับไปล่าเหรียญทองอีกครั้งให้ได้

อย่างไรก็ตาม คำว่าความแค้น ล้างแค้นกี่ปีก็ไม่สาย คงสามารถนำมาใช้กับ “เทนนิส” พาณิภัค ได้เป็นอย่างดี

เพราะหลังจากที่พลาดท่าในโอลิมปิกเกมส์ เทนนิส กลับมาพิสูจน์ฝีมือด้วยตัวเอง ก้าวเข้ามาอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเล่นเทควันโดของตัวเองเลยก็ว่าได้
ทั้งการกวาดถึง 7 แชมป์ภายในปีเดียวกันเมื่อปี 2018 ก่อนที่จะคว้าแชมป์โลกได้เมื่อปี 2019 ทำให้ก้าวขึ้นไปรั้งเบอร์ 1 ของโลก และคว้าตั๋วมาโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ได้แบบแบเบอร์ ไม่ต้องลุ้นอะไรเลย

สถิติของเทนนิสก่อนโอลิมปิกเกมส์ ผ่านการแข่งขันมาแล้ว 67 ครั้ง ชนะได้ 58 และแพ้ไป 9 ครั้ง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์คือ 86.6 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แต้มต่อนัดอยู่ที่ 13.6 แต้ม และการเอาชนะคู่แข่งในช่วงซัดเด้นเดธ ทำได้ถึง 66.7 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน

โดยรวมแล้ว เทนนิส เดินหน้ากวาดมาหมดทุกแชมป์ ไม่ว่าจะเป็น แชมป์โลก 2 สมัย, แชมป์เวิลด์แกรนด์สแลม 2 สมัย, เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ 6 รายการ, แชมป์เอเชีย 2 ครั้ง, เอเชี่ยนเกมส์ 1 ครั้ง, กีฬามหาวิทยาลัยโลก 2 ครั้ง, ยูธโอลิมปิกเกมส์ 1 ครั้ง และซีเกมส์อีก 1 ครั้ง แน่นอนว่าเหลือแชมป์เดียวก็คือโอลิมปิกเกมส์นั้นเอง

ความจริงก็คือ ถ้าหากไม่มีโควิด-19 และเทนนิสได้ลงแข่งขันตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ทั้งความมั่นใจ รวมถึงความเจนจัดสนาม บอกได้เลยว่าไม่มีใครต้านจอมเตะสาวจากไทยรายนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะช่วงที่ผ่านมาสามารถล้มคู่ปรับสำคัญอย่าง หวู จิงหยู จากจีน หรือแม้กระทั่งคนที่ทำให้เธอตกรอบโอลิมปิกเกมส์อย่าง คิม โซฮุย ก็เอาชนะมาได้แล้วเช่นกัน

ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเมื่อเกิดเหตุระบาดของไวรัสตัวร้าย ทำให้การแข่งขันเลื่อนออกมา ได้แค่รักษาสภาพร่างกาย และแทบจะไม่ได้แข่งขันจริงๆ เลย เลยทำให้สื่อต่างชาติ กลับมองเทนนิสกลายเป็นเต็งสองไปซะอย่างนั้น

ในข้อดีคือมันเหมือนการลดความกดดันในตัวของพาณิภัคไปในตัว แต่มันก็คงทำให้หลีกหนีความจริงที่เธอคือความหวังเบอร์สูงสุดของทัพไทย ที่จะมีเหรียญทองติดกลับมาจากโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้

ก็ต้องบอกว่าเส้นทางสู่เหรียญทองของเทนนิสในครั้งนี้ เรียกว่าโรยด้วยกลีบกุหลาบก็ว่าได้ เพราะว่าบรรดาตัวเต็งๆ ทั้ง ซู โปยา จากไต้หวัน, ซิม แจยอง จากเกาหลีใต้ หรือหวู จิงหยู คู่ปรับเก่าจากจีน ต่างทยอยตกรอบกันไปหมด

แม้จะมีเสียวๆ อยู่บ้าง ในรอบ 8 คนสุดท้าย ที่พบกับ เจิน ถิ คิม ตุน จากเวียดนาม เพราะจบ 2 ยกแรกตามหลังอยู่ แต่ก็ยังเรียกสติและกลับมาเตะเอาชนะได้ในยกสุดท้าย ขณะที่การเจอกับคู่แข่งจากเจ้าภาพ มิยุ ยามาดะ ในรอบตัดเชือก ก็ไม่ใช่ปัญหาใดๆ

แต่ที่เสียวที่สุดก็คงจะเป็นรอบชิงชนะเลิศ ที่ต้องเจอกับดาวรุ่งวัย 17 ปีจากสเปนอย่าง อาเดรียน่า เซเรโซ่ อิเกลเซียส ที่ตลอด 3 ยกนั้นต้องบอกว่าเล่นกันได้อย่างสูสีมากๆ ก่อนจะพลิกสถานการณ์ในช่วง 5 วินาทีสุดท้าย เฉือนไปแบบคะแนนเดียวเท่านั้น

ว่าไปแล้วมันก็อาจจะเหมือนเรื่องของโชคชะตา ครั้งก่อนเทนนิสเป็นรุกกี้หน้าใหม่ ที่พลาดในไม่กี่วินาทีสุดท้าย แต่ครั้งนี้เธอมีประสบการณ์มากขึ้น แล้วเป็นฝ่ายเอาชนะรุกกี้ไปได้แบบไม่กี่วินาทีสุดท้าย

ไม่ว่าอย่างไร นี่คือเหรียญทองที่ 10 ของนักกีฬาไทยในโอลิมปิกเกมส์, เหรียญแรกของนักกีฬาไทยในโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ และยังเป็นเหรียญทองแรกของทัพนักกีฬาไทยจากกีฬาเทควันโดด้วย

สิ่งที่น่าเสียดายจากเหรียญทองของเทนนิสในครั้งนี้ ก็คือการที่บิดาของเธอ นายสิริชัย วงศ์พัฒนกิจ ซึ่งปกติแล้วเรามักจะเห็นคุณพ่อเหมือนเงาตามตัวน้องเทนนิสก็ว่าได้ ไม่ว่าจะไปแข่งขันสนามไหน โดยเฉพาะที่เป็นกีฬาระดับมหกรรมแบบนี้ จะเห็นคุณพ่อเดินทางตามไปเชียร์ ให้กำลังใจแบบติดขอบสนามมาโดยตลอด แต่เพราะโควิด-19 ทำให้ได้แค่เชียร์จากบ้านเท่านั้น

แต่ถึงแม้บนที่นั่งกองเชียร์จะไม่มีเสียงเชียร์จากพ่อของตัวเองในครั้งนี้ แต่เทนนิสก็มีบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อคนที่สองของตัวเอง นั่นก็คือ “โค้ชเช” เช ยอง ซ็อก เฮดโค้ชชาวเกาหลีใต้

ต้องบอกว่าเทนนิสเองเป็นหนึ่งในศิษย์รักของโค้ชเช ที่พยายามพัฒนา ให้กำลังใจ รวมถึงตักเตือนในเวลาที่ทำผิด เรียกว่าฟูมฟักมาอย่างดี จนขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลกได้ในที่สุด

นอกจากนี้ นี่ก็ยังถือว่าเป็นการทำตามฝันของโค้ชเชสำเร็จด้วยเช่นกัน เพราะสิ่งที่เฝ้ารอมาตลอดก็คือการได้เห็นนักกีฬาเทควันโดของไทยไปถึงเหรียญสูงสุดของโลกอย่างโอลิมปิกเกมส์ได้เสียที

อย่างไรก็ตาม ถึงจะได้เหรียญทองแล้ว แต่เทนนิสก็ประกาศออกมาชัดเจนว่ายังไม่เลิกเล่นแน่นอน แม้ก่อนหน้านี้เธอจะเคยบอกเอาไว้ว่าถ้าสำเร็จเป้าหมายเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์เมื่อไหร่ก็จะหยุดเมื่อนั้น

เพราะเทนนิสเชื่อว่ายังมีอะไรที่ท้าทายสามารถเป็นชาลเลนจ์ให้กับตัวเองได้อีกมาก และหนึ่งในนั้นน่าจะเป็นการตามรอย หวู จิงหยู คือการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2 สมัยซ้อนให้ได้ ในครั้งต่อไปที่ประเทศฝรั่งเศส

แต่ถ้าจะให้ดี อยากให้ลุ้นทำแชมป์ 3 สมัยซ้อนเลย จนถึงลอสแองเจลิส ก็เชื่อว่าเทนนิสอยากลองดูเหมือนกัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image