เปิดแผนอุตฯแปรรูปอาหาร…ดันไทยสู่”ครัวโลก”
เมื่อเร็วๆนี้ คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ระยะที่ 1 (2562-70) ของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้เป้าหมายไทยจะเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมอุตสาหกรรมอาหารของไทยเป็น 1.42 ล้านล้านบาท ก่อให้เกิดรายได้ในธุรกิจเกี่ยวเนื่องเพิ่มขึ้น 4.5 ล้านล้านบาท ครอบคลุมผู้ประกอบการในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกว่า 7.6 ล้านราย
ก่อให้เกิดการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารภายในประเทศกว่า 0.48 ล้านล้านบาท และไทยจะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารอนาคตของอาเซียน เป็น 1 ใน 10 ของประเทศผู้ส่งออกอาหารของโลกภายในปี 2570 จากปี 2562 อันดับ 11 และอันดับ 10 เมื่อปี 2561
สาระสำคัญแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ประกอบด้วย4 มาตรการ มีรายละเอียด ดังนี้ 1.มาตรการสร้างนักรบอุตสาหกรรมอาหารพันธุ์ใหม่ เป็นมาตรการสร้างผู้ประกอบการอาหารรุ่นใหม่ตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ ภาคการเกษตร ภาคการผลิต และภาคการตลาดเพื่อให้เป็นพลังขับเคลื่อนหลักในการสร้างมูลค่าเพิ่มสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างการเติบโตให้เศรษฐกิจไทยโดยให้ความสำคัญกับการผลิตอาหารอนาคต เช่น อาหารสุขภาพ ผลิตภัณฑ์อาหารจากเทคโนโลยีชีวภาพ และอาหารใหม่
ในส่วนนี้กระทรวงอุตสาหกรรมจะบูรณาการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และภาคเอกชน ตั้งแต่ต้นน้ำ โดยยกระดับเกษตรกรให้ปลูกพืชเชิงอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิตให้ตรงความต้องการของห่วงโซ่อุปทานโดยเฉพาะเกษตรอินทรีย์ นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมมีเครือข่ายบริษัทอาหารชั้นนำ และจะเชิญมาเป็นพี่เลี้ยง ให้กับผู้ประกอบการ และเอสเอ็มอี เพื่อบ่มเพาะแนวคิดธุรกิจและเทคโนโลยี เพื่อผลักดันผู้ประกอบการอาหารรุ่นใหม่ไปสู่เวทีโลก
2.มาตรการสร้างนวัตกรรมอาหารอนาคต เป็นมาตรการยกระดับนวัตกรรมอาหารอนาคตสู่การผลิตเชิงพาณิชย์โดยสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของไทย เช่น การพัฒนาศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมอาหารเพื่อพัฒนาสินค้านวัตกรรมอาหารการพัฒนาและสนับสนุนการใช้บรรจุภัณฑ์ฉลาด ที่สามารถแสดงข้อมูลระดับสินค้า คุณภาพและความปลอดภัยทางอาหาร เพื่อใช้บรรจุอาหารสด
การส่งเสริมให้มี FutureFood Lab ในพื้นที่เมืองนวัตกรรมอาหารส่วนขยายที่อยู่ในอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคและมหาวิทยาลัยที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมของผู้ประกอบการ มาตรการนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะบูรณาการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และภาคเอกชน
3.มาตรการสร้างโอกาสทางธุรกิจ เป็นมาตรการเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับผู้ผลิตทุกระดับให้อุตสาหกรรมอาหารไทยมีบทบาทในตลาดโลกโดยการเชื่อมโยงการค้าสู่สากลรวมถึงการสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ และเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์อาหารกับการท่องเที่ยวเช่น การจัดกิจกรรมฟู๊ด เอ็กซ์โป ระดับโลกอย่างงานไทยเฟ็กซ์
การพัฒนาบิ๊ก ดาต้า ฐานข้อมูลเอสเอ็มอี และเปิด SMEs One Portal หรือแหล่งรวมความรู้และบริการ ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงบริการทั่วถึง ทุกที่ ทุกเวลา การพัฒนา Digital ValueChain เพื่อผลักดันผู้ประกอบการอาหารอนาคตสู่ Global ValueChain และเข้าสู่ระบบอี-คอมเมิร์ซที่มีอยู่แล้วเข้าสู่ตลาดโลก การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารโดยเฉพาะเอสเอ็มอีเพื่อรองรับการท่องเที่ยวชุมชน มาตรการนี้กระทรวงอุตสาหกรรมจะบูรณาการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
และ4.มาตรการสร้างปัจจัยพื้นฐานเพื่อเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรม เป็นมาตรการสร้างปัจจัยเอื้อสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของไทยและลดอุปสรรคในการประกอบธุรกิจที่จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 เช่น การส่งเสริมการสร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับอาหารในระดับต่างๆ การยกระดับเอสเอ็มอีสู่มาตรฐาน ที่เหมาะสม
พร้อมสร้างระบบมาตรฐานเฉพาะ (มอก.S) การสร้างระบบมาตรฐานที่จะรองรับการพิสูจน์ (Identify) สารสกัดชนิดใหม่ของไทยจากสมุนไพรหรืออาหารให้เป็นที่ยอมรับในระดับชาติและระดับสากลเป็นต้น ซึ่งการขับเคลื่อนมาตการนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นขับเคลื่อนหลักและจะดำเนินการควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความโปร่งใส สุจริต ยุติธรรมรับผิดชอบต่อสาธารณะ และการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการพัฒนาประเทศ
ยุทธศาสตร์ดังกล่าว “สุริยะ จึงรุ่งเรือง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แสดงความเห็นว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารของไทยมีมูลค่ากว่า 9 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ(จีดีพี) และคิดเป็น 20.6% ของจีดีพีภาคอุตสาหกรรม มีสถานประกอบการทั่วประเทศประมาณ 1.12 แสนแห่ง คิดเป็นการจ้างงาน 1.14 ล้านคน
อุตสาหกรรมอาหารของไทยยังมีความเปราะบาง เพราะยังสร้างมูลค่าน้อย ส่งผลต่อรายได้เกษตรกรให้น้อยตามไปด้วย รวมทั้งเน้นส่งออกเป็นสินค้าเป็นขั้นต้น ในสัดส่วนสูงถึง ร้อยละ 53 และแม้จะมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมากถึง 90% แต่การสร้างจีดีพีอาหารยังน้อย เพียง 35%
แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ถือว่าเป็นจังหวะเหมาะสม เพราะผลจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้สถานการณ์ทั่วโลก รวมทั้งไทย เกิดความต้องการอาหาร และไทยมีศักยภาพด้านนี้ กระทรวงฯเล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารที่สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคและทิศทางของโลก เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในช่วง 10 ปีจากนี้
“มั่นใจจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารแห่งอาเซียน ติดอันดับต้นๆของโลก ควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากโดยเฉพาะในภาคเกษตรที่จะยกระดับผลิตภัณฑ์อาหาร เกิดการสร้างงาน และการสร้างรายได้สู่ท้องถิ่น “สุริยะระบุ
ด้าน วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ระบุว่า เอกชนมีส่วนในการจัดทำรายละเอียดของแผนพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูป ตั้งเป้าหมายติด 1 ใน 10 ผู้ส่งออกอาหารของโลก จากปัจจุบันอันดับ 11 จากปัจจุบัน 10 อันดับของโลก อันดับ1 คือ สหรัญอเมริกา ตามด้วย เนเธอร์แลนด์ บราซิล เยอรมนี จีน ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี แคนาดา และเบลเยียม
สาเหตุที่ไม่ตั้งเป้าสูงมาก เพราะอันดับผู้ผลิตอาหารของโลกมูลค่าสูง ต้องมีทั้งการผลิตในประเทศและนำเข้า แต่ไทยต้องเน้นการผลิตในประเทศในแข็งแกร่งก่อน เพราะยังมีปัจจัยกระทบแต่ละปี อาทิ ภัยแล้ง น้ำท่วม ดังนั้นจึงยังไม่ตั้งเป้าหมายติด 1 ใน 5 ของโลกเพราะอาจยากเกินไป
ขณะที่ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรายหนึ่ง ให้มุมมองต่อยุทธศาสตร์อาหารนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี เนื่องจากมีการผลักดันเรื่องนี้มานานหลายปี หลังครม.มีมติเห็นชอบ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพและมีบทบาทต่อสำคัญต่อในการผลักดันเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ตั้งแต่ปลายปี 2558 และทราบว่ากระทรวงอุตสาหกรรมใช้เวลาในการเสนอเรื่องนี้มาพอสมควรหลังจากที่ผ่านมาเห็นชอบยุทธศาสตร์ยานยนต์สมัยใหม่ ยุทธศาสตร์หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติแล้ว
นอกจากนี้ แผนพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารยังเป็นนโยบายที่ออกมาถูกที่ถูกเวลา เพราะจากการแพร่ระบาดโควิด-19 จะเห็นว่าอุตสาหกรรมอาหารของไทยมีศักยภาพ จึงเป็นหนึ่งในไม่กี่อุตสาหกรรมที่มีส่งออกขยายตัวในช่วงนี้ โดยเดือนมีนาคม 2563 การส่งออกอาหารขยายตัว 0.8% กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือน โดยไทยควรมุ่งอาหารที่เพิ่มมูลค่า อาหารสุขภาพ อาหารทางเลือก เพื่อส่งผ่านมายังเกษตรกรไทยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
น่าจะติดตามว่า อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารจะทะยานสู้เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้หรือไม่!!