เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 และที่ปรึกษาหน่วยพญาเสือ ร่วมกับนายพนัชกร โพธิบัณฑิต หัวหน้าชุด ทีมพญาเสือ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยพระธาตุเจดี, เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า ที่ 1 บึงกาฬ ทหารชุดเคลื่อนที่เร็ว กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี, เจ้าหน้าที่สปป.2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา, เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันสัตว์ป่าภูวัว, เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ 23, ชุดปฏิบัติการพิเศษป่าไม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2, กก.3 บก.ปทส., สภ.บึงโขงหลง, และฝ่ายปกครองอำเภอบึงโขงหลง กว่า 50 นาย เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านเลขที่ 368 หมู่7 บ.ดงชมภู ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ ซึ่งเปิดเป็นปั้มน้ำมัน บนเนื้อที่กว่า 5-7 ไร่ ริมถนนหลวงสาย 2026 เซกา-บึงโขงหลง ห่างจากตัว อ.บึงโขงหลงไปทาง อ.บ้านแพง จ.นครพนม เพียง 5 กิลเมตร ตามหมายจับของศาล หลังสืบสวนขยายผลจนทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นหนึ่งในขบวนการค้าไม้พะยูงข้ามชาติ ที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ในพื้นที่จ.ศรีสะเกษ
หลังบุกเข้าตรวจค้นพบนายวินัย จันทร์อุ่ม อายุ 35 ปี ได้แสดงตัวเป็นเจ้าของบ้าน พร้อมกับพบของกลางเป็นไม้พะยูงแปรรูปทั้งแบบชนิดกลม แบบชนิดเหลี่ยม เป็นจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ภายในบ้านพักห่างจากปั้มน้ำมันประมาณ 15 เมตร และพบไม้พะยูงอีกจำนวนมากทั้งแปรรูปและยังไม่แปรรูปอีกเป็นจำนวนมาก ซุกซ่อนอยู่ในโกดังด้านหลังปั้มน้ำมัน ซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปไม้ และยังพบอุปกรณ์การตัดไม้แปรรูปไม้ แท่นเครื่องเลื่อยไม้ขนาดใหญ่ เลื่อยโซ่ยนต์ ตาชั่ง และอื่นๆอีกจำนวนมาก และยังพบยาเสพติด (ยาบ้า) 1,723เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในบ้านพัก จึงร่วมกันตรวจยึดเป็นของกลางและรถยนต์ที่ใช้กระทำผิดอีกจำนวน 3 คัน พร้อมนำตัวนายวินัย จันทร์อุ่ม ผู้ต้องหามาสอบสวนที่เขตอุทยานแห่งชาติภูลังกา อ.บ้านแพง จ.นครพนม ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาขนไม้พะยูงของกลางนานกว่า 12 ชั่วโมง ยังตรวจนับและวัดปริมาตรไม้ของกลางยังไม่แล้วเสร็จคาดจะมีน้ำหนักมากกว่า 5 ต้นและมากกว่า 1,000 ท่อน/เหลี่ยม/กลม
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า นับจากการขยายผลงานการค้าไม้พะยูงข้ามชาติ ซึ่งเริ่มต้นจับไม้พะยูงที่จังหวัดศรีสะเกษ มีการบอนไม้อำพรางไปสวมโฉนด ที่ดินโฉนด แต่ว่าเจ้าหน้าที่ได้จับกุมไว้ได้ก่อน แล้วก็ขยายผลมา ในครั้งแรกเราจับได้ 8 คน แล้วก็ขยายผลจับมาได้ถึง 31 คนด้วยเทคโนโลยี จากทีมพญาเสือ จากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ขยายผลมาจนถึง จ.กาฬสินธุ์ แล้วก็ที่ช่องเม็ก จ.มุกดาหาร สุดท้ายก็มาขอหมายศาลตรวจค้นที่บึงกาฬ ทั้งหมดมาการจากแกะรอยสืบค้นจากกระบวนการนำไม้พะยูงมาสวมบ้าง ใช้หลักฐานการได้มาจากมาตรา 7 ตาม พ.ร.บ.2484 ป่าไม้ แล้วอ้างว่ามีหลักฐานครอบครอง นำไปสวมไป สวมมา แล้วก็นำออก สุดท้ายจับได้ขณะที่กระทำความผิดก็ยอมรับไป แต่วันนี้เรามาตรวจค้นครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เราจับกุมในเคสที่ใหญ่ที่สุดของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชและของกรมป่าไม้ร่วมกัน อีกทั้ง ทสจ.ฝายปกครอง ป่าไม้ น้องๆ ทหาร ตลอดทั้งคืนไม่ได้นอนกันเลย โดยเฉพาะทีมพญาเสือ
“วันนี้เรายึดของกลางที่กระทำผิดด้วยคือรถยนต์ 4 ล้อ 1 คัน และรถบรรทุก 6 ล้อ 1 คัน ของกลางอื่นๆ มีเลื่อยโซ่ยนต์ กบตาชั่งกิโล ตราชั่งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ และมียาบ้าอีกประมาณ 1,700 เม็ด บาทจากการตรวจสอบบริเวณบ้านจะมีเครื่องมือเครื่องไม้ การแปรรูปไม้ มีการตั้งโรงงาน ซึ่งก็ได้รับความอนุเคราะห์จากอุตสาหกรรมมาช่วยตรวจสอบเครื่องมือซึ่งหลายๆ จุดรวมกันเป็นเครื่องมือใหญ่ประมาณ 40 แรงม้าก็ยังไม่ถึง 50 แรงม้าก็ยังไม่เข้าอุตสาหกรรม แต่จากการตรวจสอบพบว่าเขาขออนุญาตแปรรูปไม้จากยูคาลิปตัส และไม้ยางพารา ตาเราพบว่าเศษขี้เลื่อย เศษไม้ หัวไม้ เป็นไม้พะยูงที่แปรรูป ซึ่งก็ต้องแจ้งข้อหาการตั้งโรงงานแปรรูปไม่โดยไม่ได้รับอนุญาต และต้องใช้มาตรการยึดทรัพย์ด้วย โดยดูจากไม้ของกลางที่มีมากมีมูลค่ามากว่า 30-40 ล้านบาท ซึ่งขบวนการนี้อุกอาจมาก ขณะเข้าจับกุมผู้ต้องหาไม่มีทางทีตกใจกลัว ไม่เกรงกลัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้ต้องหาให้การรับสารภาพหมดว่าทุกชิ้น ทุกอย่างเป็นของเขาเพียงคนเดียว ไม่มีการซัดทอดใคร ซึ่งอันนี้ผมมองว่าเขาเป็นมืออาชีพ และจำนวนไม้ของกลางที่มีมากคาดจะยังไม่ได้ราคาที่สูงและอยู่ในช่วงติดโควิค-19 จึงยังไม่มีการส่งออกและเชื่อว่าไม้ล๊อตนี้ส่งไปถึงประเทศที่ 3 แน่นอน” นายชัยวัฒน์กล่าว
นายพนัชกรกล่าวว่า นายวราวุธ ศิลปะอาชา รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษา รมว.ทส. และนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สั่งการโดยเด็ดขาดว่าให้ชุดพญาเสือ กัดไม่ปล่อยขบวนการนี้ ขบวนการค้าไม้พะยูงข้ามชาติต้องตามหาขบวนการนี้ ใครที่มีส่วนร่วม ใครที่เกี่ยวข้องกับขบวนการนี้เราชุดพญาเสือจะดำเนินรื้อถอนรากถอนโค่นให้ได้ ส่วนคดีนี้หลังจากตรวจนับไม้ของกลางเสร็จสิ้น กะจะได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุดต่อไป
