เฉลียงไอเดีย : ‘อร-กนกกัญจน์’ แตกไลน์ธุรกิจ ร้านอาหาร‘วนิดา’… เพราะหลงรักบ้านเก่า

ธุรกิจเบเกอรี่ “เอพริล เบเกอรี่” (April’s Bakery) ที่กำลังเติบโตไม่หยุด ขยายสู่ตลาดแมส วางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขา 13,000 สาขา ผลักดันกำลังการผลิตพายสูตรเด็ด..อร่อยที่แตกต่างจากพายทั่วไป เพิ่มขึ้นมากกว่า 100,000 ชิ้นต่อวันในวันนี้ น่าจะเรียกได้ว่าธุรกิจอยู่ตัวแล้ว เพราะระบบถูกวางไว้รองรับการเติบโตในอนาคตเรียบร้อยแล้ว

คุณอร-กนกกัญจน์ มธุรพร วัย 36 ปี คุณแม่ลูกสาม อดีตแอร์โฮสเตสที่ตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจของตัวเองในวันนั้น ได้แตกไลน์ธุรกิจ ตั้งบริษัทใหม่ บริษัท มณี 2015 จำกัด เปิดธุรกิจร้านอาหาร “วนิดา” (Vanida Bangkok) สะดุดตาด้วยบ้านไม้สีขาวทรงโบราณย่านถนนจันทน์ 119 ซอยจันทน์ 51 แขวงวัดพระยาไกร

“บ้านหลังนี้เป็นบ้านโบราณ อายุกว่า 100 ปี สร้างในสมัยรัชกาลที่ 7 เคยเป็นที่บัญชาการของทหารญี่ปุ่น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2” คุณอรเล่าถึงประวัติของบ้านหลังนี้โดยสังเขป

Advertisement

ส่วนเหตุผลที่ตัดสินใจทำร้านอาหาร คุณอรพูดอมยิ้ม ตาเป็นประกายว่า บังเอิญเห็นบ้านหลังนี้ขณะขับรถผ่านเพราะเป็นเส้นทางรับ-ส่งลูกไปโรงเรียน ติดป้ายประกาศให้เช่าก็ติดต่อเจ้าของบ้าน ยิ่งได้เห็นตัวบ้าน ไม่คิดมากเอ่ยปากขอเช่าทันที เพราะนิสัยส่วนตัวเป็นคนชอบของโบราณ โดยยังไม่มีในหัวว่าเช่ามาแล้วจะทำอะไร แต่อย่างแรกที่ทำคือรีโนเวทบ้านทั้งหลังใหม่หมด แต่ยังคงของเดิมๆ ทั้งหมด ไม้ทั้งหลังคือของดั้งเดิมแค่ขัดสีใหม่ สิ่งที่ทำใหม่คือเดินระบบไฟฟ้า-ประปา

“เมื่อแรกเห็นบ้าน คิดแค่ว่าอยากได้ หลงรัก จากนั้นก็มานั่งคิดกับน้องสาว (คุณไหม) ว่าจะทำอะไรดี เดิมตั้งใจจะทำคาเฟ่ เพราะเรามีธุรกิจเค้ก-พายอยู่แล้ว แต่เมื่อนั่งคิดถึงบ้านหลังนี้มีสตอรี่ จึงคิดว่าบ้านเก่าควรคู่กับอาหารไทย ส่วนชื่อร้าน “วนิดา” เพราะเป็นคนชอบคิดถึงสิ่งรอบๆ ตัว บ้านหลังนี้อยู่ในสมัย ร.7 ซึ่งมีนิยายดังเรื่อง วนิดา และบังเอิญชื่อเดียวกับคุณแม่ ซึ่งท่านเป็นคนทำอาหารไทยเก่ง รสจัดจ้าน เมนูที่ร้านก็มีพื้นฐานมาจากสูตรอาหารของคุณแม่ที่ทำให้ลูกทาน จาน ชามทุกใบที่ใช้เสิร์ฟลูกค้าก็เป็นของสะสมที่ซื้อมาจากแต่ละประเทศ ทั้งที่ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมนี ส่วนการตกแต่งที่ใช้ดอกไม้หรือของประดับต่างๆ ในร้านก็เป็นสิ่งที่ อร ชอบ เป็นการบอกตัวตนของอรในร้านแห่งนี้”

Advertisement

ตั้งแต่เปิดร้านมาเมื่อ 1 ปีก่อนจนถึงวันนี้ คุณอรบอกว่า ผลตอบรับดี “วนิดา” สามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้ว แต่หากถามว่าคุ้มทุนหรือยังก็ยัง เพราะค่าซ่อมและตกแต่งบ้านเก่าหลังนี้ หมดไปกลมๆ 10 ล้านบาท เกินงบที่ตั้งไว้เยอะมาก แต่ก็คุ้มค่าสำหรับคนที่หลงรักบ้านเก่า ซึ่งคุณอรบอกว่า “เป็นการซื้ออดีต” คืนชีวิตบ้านหลังเก่าให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง แม้แต่เจ้าของบ้านเมื่อมาเห็นบ้านตัวเองก็ยังรู้สึกยินดี กลายเป็นลูกค้าประจำร้านที่มักจะพาเพื่อนๆ มานั่งกินนั่งคุย

แม้ว่า “วนิดา” จะมีฐานแฟนคลับ เป็นลูกค้าประจำร้าน และเลี้ยงตัวเองได้แล้ว แต่คุณอรและคุณไหม ไม่หยุดนิ่งคิดไอเดียเติมชีวิตให้ร้านอาหารแห่งนี้อยู่ตลอดเวลา โดยมีแผนจะทำอาหารเป็นคอร์ส เป็นเซตเมนู Pairing (จับคู่) กับไวน์ “คนไทยกำลังนิยม คล้ายๆ Omakase ตั้งราคาไม่แพงเพื่อให้คนไทยเข้าถึงง่าย เช่น 999 บาท

“อยากทำเพราะบริหารวัตถุดิบได้ง่ายขึ้น ทำให้ของไม่เหลือค้างแบบสูญเปล่า และอยากนำเสนออาหารไทยทานคู่กับไวน์ สามารถ Presentation ออกมาได้สวยไม่แพ้อาหารสากล และอยากจะบอกว่าเมืองไทยก็มีไวน์อร่อยๆ แต่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก เช่น ไวน์อโศก เราจึงอยากจะจัดคอร์สอาหารไทย เมนูไหนควรทานคู่กับไวน์ชนิดไหน ตั้งใจจะเสิร์ฟ 1 คอร์ส มี 9 อย่าง เปลี่ยนเมนูเดือนละครั้ง หรือสัปดาห์
ละครั้ง เริ่มคิดเมนูไว้บ้างแล้ว เช่น พล่าหอยเชลล์ฮอกไกโด กุ้งแม่น้ำไซซ์ใหญ่ราดซอสพะแนง แต่ทั้งหมดยังคงคอนเซ็ปต์รสเผ็ดจัดจ้าน ที่ตั้งใจให้เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน”

เป็นอีก Step ที่คุณอร Plan ไว้ แต่เป้าหมายที่อยากเห็น “วนิดา” คงอยู่และเป็นไป คือบ้านโบราณสไตล์ Vintage Luxury ร้านอาหารไทยที่สามารถอวดแขกบ้านแขกเมือง หรือพาคนสำคัญมารับประทานได้
อย่างภาคภูมิทั้งรสชาติอร่อยอย่างไทย การบริการที่เป็นเลิศระดับมาตรฐานสากล และสถานที่ที่คู่ควร

คุณอรหวังว่าสักวัน วนิดาจะเป็นร้านอาหารโด่งดังระดับเดียวกับร้านอาหารดังๆ ระดับโลกที่ต้องมีการสั่งจองล่วงหน้านานสัปดาห์หรือเดือน และแน่นอนว่าหวังจะเป็นร้านติดอันดับของมิชลินสตาร์ ซึ่งคุณอรบอกว่ายังต้องจัดการอีกมากในเรื่องการให้บริการที่ได้ระดับมาตรฐานสากล

เป็นความหวังและความตั้งใจที่อยากเห็น เพื่อว่าเมื่อถึงวันที่ทุกอย่างลงตัว ธุรกิจมั่นคงในระดับที่ธุรกิจเดินได้เอง คุณอรสามารถวางมือได้ เปลี่ยนมือให้ผู้บริหารมืออาชีพมาทำงานแทน คุณอรก็จะหันมาแฮปปี้กับชีวิต โฟกัสที่ครอบครัว 100% โดยวางฝันจะย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อังกฤษ อยู่ใกล้ชิดกับลูกซึ่งคุณอรวางแผนการเรียนให้ลูกเมื่อคนโตถึงวัย 13 ปี จะย้ายลูกๆ ทั้ง 3 คน ไปเรียนที่อังกฤษ

คุณอรบอกว่า ไม่ต้องการให้ลูกๆ รู้สึกว่าโดนพ่อแม่ทิ้ง เหมือนที่คนใกล้ตัวคุณอรเคยมีประสบการณ์และรู้สึกโดดเดี่ยว

คุณอรบอกอีกว่า อนาคตลูกจะเป็นยังไง ลูกแต่ละคนจะเป็นผู้กำหนดเอง แต่ในฐานะแม่ขอเต็มที่กับลูกๆ ขอมีประสบการณ์ทุกช่วงวัยของลูก คือสิ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิต

ถึงแม้ลูกๆ คือที่สุดของชีวิต แต่คุณอรกล่าวทิ้งท้ายว่า ยังไม่หมดฝันอาจได้เห็น “วนิดา” สาขาสอง ร้านอาหารไทยเล็กๆ ที่อังกฤษก็เป็นได้

เกษมณี นันทรัตนพงศ์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

    QR Code
    เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
    Line Image