
ปริศนาโบราณคดี : เสน่ห์ ผู้นำ และอำนาจ เช เกวารา vs ฟิเดล คาสโตร (3)

ภาวะผู้นำของเชและฟิเดล
เมื่อ “เช เกวารา” ตัดสินใจตายเอาดาบหน้า กระโจนเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติคิวบากับ “ฟิเดล คาสโตร” แล้ว ลองหันมาพินิจบทบาทของสองหนุ่มในฐานะ “ผู้นำมวลชน” สักหน่อยปะไร ว่าใครมียุทธวิธี หรือเชื่อถือแนวทางใดกันบ้าง
จากหนังสือที่เชเขียนเองเป็นภาษาสเปน ต่อมาได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ “Reminiscences of the Cuban Revolution War” (รำลึกสงครามปฏิวัติคิวบา) ทำให้เราทราบว่า “ยุทธวิธีการรบ” ระหว่างเชกับฟิเดล ต่อการโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการคิวบานั้น มีแนวทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฟิเดล คาสโตร เสนอว่าหนทางที่จะล้ม “บาติสตา” ผู้นำคิวบาที่มีจักรวรรดิอเมริกาหนุนหลังอย่างแข็งแกร่งได้นั้น ต้องแฝงเข้าไปขลุกตัวในสังคมชั้นสูง ค่อยๆ ล็อบบี้นักการเมืองขั้วตรงข้ามกับบาติสตา
กล่าวให้ง่ายคือ จะต้องจับมือกับกลุ่มฝ่ายค้านในรัฐสภา แล้วรอจังหวะที่บาติสตาเพลี่ยงพล้ำ หรือรอเวลาที่ใครบางคนในคณะรัฐบาลทรยศต่อบาติสตา
จากนั้นจึงค่อยใช้วิธีรุกฆาตด้วยการ “เสียบ”
อะไรทำให้ฟิเดลเชื่อมั่นในแนวทางดังกล่าว
เหตุเพราะเขามีเครือข่ายนักการเมืองฝ่ายค้านหลายคนที่บูชาทฤษฎีมาร์กซิสต์ที่เคลื่อนไหวในกรุงฮาบานาอยู่จำนวนหนึ่ง ดูเผินๆ ก็มีความน่าสนใจและเป็นไปได้ไม่น้อย
แต่ไฉนเชกลับไม่เห็นด้วย
ในทัศนะของเชมองว่า การที่ฟิเดลเข้าไปแฝงตัวในเมืองหลวง คอยเจรจายั่วยุชนชั้นกลางคนโน้นทีคนนี้ทีให้เห็นคล้อยตามอุดมการณ์คอมมิวนิสต์โซเวียต เป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระสิ้นดี
การกระทำเช่นนั้นเป็นแค่การเปลี่ยนขั้วอำนาจจากเผด็จการกลุ่มที่ 1 มาเป็นเผด็จการกลุ่มที่ 2
นั่นคือ การเปลี่ยนกลุ่มผู้แสวงหาผลประโยชน์ในละตินอเมริกา จากจักรวรรดินิยมอเมริกัน (เชเรียกกลุ่มตะวันตก) มาเป็นจักรวรรดิโซเวียต (เชเรียกกลุ่มตะวันออก) นั่นเอง ไม่เกิดประโยชน์อันใดเลยต่อประชาชนเจ้าของประเทศ
และดีไม่ดีผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย นักปฏิวัติเช่นฟิเดลอาจกลายเป็นเหยื่อของผู้ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบสุดโต่งก็เป็นได้
ทางที่ดี ฟิเดลควรเอาเวลาจ๋อแจ๋ (ซึ่งเป็นอุปนิสัยที่ฟิเดลถนัด) นั้น หันมามุ่งมั่นในการเดินหน้า “สงครามกองโจร” แบบแมนๆ ร่วมกับเชจะดีกว่า
แรกๆ ฟิเดลหัวเสียอยู่ไม่น้อย ที่เขาไม่อาจทำตามแผนการเดิมของตนได้
แต่สุดท้ายฟิเดลคงชั่งน้ำหนักดูแล้วว่า ทฤษฎีของเชน่าจะบรรลุเป้าหมายได้ดีกว่าทฤษฎีของตน
ฟิเดลแม้จะอยู่ในฐานะ “ผู้นำหมายเลขหนึ่ง” ซึ่งในภาษาสเปนเรียกว่า Commandante (กอมมานดานเต – แม่ทัพ หรือผู้บัญชาการ) กลับต้องยอมจำนนต่อเช ผู้ที่ไม่ยอมรับตำแหน่งใดๆ ในกองทัพปฏิวัติ
แต่ทุกวันนี้ผู้คนกลับมีฉันทามติว่า แท้จริงแล้วคำว่า กอมมานดานเต ควรใช้เรียกเชมากกว่าฟิเดล

Raul Castro (R) and Che Guevara / AFP PHOTO / BOHEMIA / HO
กบฏชาวนา ป่าล้อมเมือง
ประเทศโลกที่สาม
กอมมานดานเต เช เกวารา ประกาศจุดยืนว่า การสู้รบของนักปฏิวัติซึ่งตอนนี้อยู่ไกลจากมหานคร กับอำนาจเผด็จการซึ่งตรึงพื้นที่ในเมืองหลวง พวกเขาจำเป็นต้องสร้างกองทัพนักรบจากชนบทผู้เป็นเพื่อนร่วมชาติเท่านั้น จะไม่ง้องอนเงินตราและอาวุธยุทโธปกรณ์จากประเทศคู่สงครามกับจักรวรรดินิยมอเมริกา (หมายถึงรัสเซีย) อย่างเด็ดขาด เชมักจะย้ำว่า
“ละตินอเมริกาต้องเป็นอิสระทั้งจากอเมริกาและรัสเซีย” นั่นคือที่มาของคำว่า “ประเทศโลกที่สาม”
คำว่า “ประเทศโลกที่สาม” ในความหมายของ เช เกวารา หมายถึง กลุ่มทวีปทั้งสามทวีปที่ถูกชาวยุโรปและอเมริกา เรียกโดยรวมว่า “คนผิวขาว” ข่มเหงยำเยงมานานแล้วตั้งแต่ยุคล่าอาณานิยมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17-19
ประเทศโลกที่สาม กอปรด้วย กลุ่มคนผิวแดง หมายถึงทวีปอเมริกาใต้ กลุ่มคนผิวเหลือง หมายถึงทวีปเอเชีย และกลุ่มคนผิวดำ หมายถึงทวีปแอฟริกา
ความฝันของเช จึงไม่ใช่แค่เพียงต้องการปลดแอกให้ชาวละตินอเมริกา หรือกลุ่มคนผิวแดงทวีปเดียวเท่านั้น แต่เจตจำนงอันแรงกล้าของเขายังรวมไปถึงอิสรภาพของทวีปอื่นๆ อันไกลโพ้น
และข้อสำคัญเขาไม่ได้เพียงแค่ฝันลมๆ แล้งๆ ในทางปฏิบัติ เชได้ร่วมขบวนการปลดแอกให้แก่ประเทศคองโกในแอฟริกา และประเทศเวียดนามในเอเชียมาแล้วด้วย
ความคิดที่จะเดินตามรอยลัทธิคอมมิวนิสต์รัสเซียสุดโต่งของ ฟิเดล คาสโตร จำต้องหักพับลงพังพาบ ด้วยแนวคิดแบบ “สังคมนิยมเพื่อประเทศโลกที่สาม” ของ เช เกวารา ด้วยเหตุและผลที่ทรงพลังกว่า
เชพยายามโน้มน้าวความคิดจิตใจของฟิเดล ว่า “เราไม่ได้ต้องการแค่คลานออกจากหว่างขาโสโครกของอเมริกา เพียงเพื่อเข้าซุกปีกอันโสมมของโซเวียต”

A 1965 photo depicts Cuban-Argentinian guerrilla Ernesto Che Guevara (L) in a jungle camp of Congolese and Cuban soldiers involved in the guerilla movement in that country. After the failure of that uprising, Guevara spent several months in Tanzania where he wrote about his experience in the Congo, ultimately resulting in the book “Pasajes de la Guerra Revolucionaria: Congo” or “Writings on Revolutionary War: Congo,” which became available in Cuba, 27 April 1999, for the first time. / AFP PHOTO
แผนการก่อร่างสร้างกองทัพปฏิวัติของ เช เกวารา ณ ดินแดนเทือกเขาทึบทะมึน เซียร่า มาเอสตรา ทางตอนเหนือของคิวบานั้น เริ่มจากการรวมตัวกันของคนหนุ่มเลือดละตินไม่จำกัดสัญชาติจำนวนไม่ถึง 100 แต่ว่าเป็นกลุ่มคนที่มีคุณภาพ เพราะล้วนเป็นปัญญาชนนักการศึกษาที่มาจากหลากหลายประเทศ (ทุกคนต่างโคจรมาพบกันและลงปฏิญญาใจต่อกันตั้งแต่ที่เม็กซิโกแล้ว) แต่ทุกคนใช้ภาษาแม่เดียวกันคือภาษาสเปน และมีจิตสำนึกร่วมกันในนามพลเมืองของ “ประเทศโลกที่สาม”
คนหนุ่มไม่ถึง 100 ชีวิตกลุ่มนี้ มีแต่อุดมการณ์ ไม่เคยจับปืนผาหน้าไม้กันมาก่อน ไม่ชินต่อการนอนป่า แต่ต้องใช้ยุทธวิธี “สงครามกองโจร” ซึ่งฟังดูแล้วดุดันโหดร้าย พวกเขาหาทางออกและปรับตัวกันอย่างไร
เชบันทึกไว้ในหนังสือเล่มเดิมว่า พวกเขาใช้ต้นทุนของการเป็นปัญญาชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลก ด้วยการเริ่มต้นให้หัวใจและให้ความรักต่อผู้คน สร้างความเข้าใจกับชาวพื้นเมืองในชนบทให้ตระหนักเห็นชะตากรรมความทุกข์ยากที่พวกเขาได้รับ
หากเรียกเป็นภาษาสมัยใหม่ ก็อาจถูกฝ่ายรัฐบาลประณามด้วยการยัดเยียดคำว่า “ปลุกระดม” หรือ “ล้างสมอง” อะไรก็แล้วแต่
ทว่า ในความเป็นจริงนั้น เชไม่ได้ฝึกตาสีตาสาให้ลุกขึ้นจับปืนบู๊ล้างผลาญ หรือส่งคนจนไปตายก่อน เพราะหากทำเช่นนั้นน้ำน้อยเช่นเขาย่อมต้องพ่ายแพ้ต่อกองไฟมหาศาลของทหารฝ่ายรัฐบาลตั้งแต่เริ่มคิด
เช เกวารา ใช้จรรยาบรรณของความเป็นนายแพทย์ ด้วยหัวใจที่ห่วงใยในสุขอนามัย เขาดูแลระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของชุมชน อาหาร น้ำดื่ม ที่อยู่หลับนอนต้องไม่มีเชื้อโรค เหนือสิ่งอื่นใด เขาได้ “ฉีดวัคซีนสมอง” เพิ่มภูมิคุ้มกันความเขลาของคนในชนบทด้วยการสอนหนังสือให้อ่านออกเขียนได้ เน้นย้ำให้รู้ถึงเป้าหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ที่จะต้องมีหัวใจอิสริยะ บินพ้นจากความเป็นทาส
ในทุกๆ เย็นทั้งปัญญาชนและชาวนาจักนั่งล้อมวงกันถกเถียงเรื่อง ความฝันใฝ่ที่จะปลดปล่อยเพื่อนร่วมโลกสู่เสรีภาพ ช่างเป็นสงครามกองโจรที่งดงามและเต็มไปด้วยอุดมการณ์อะไรเช่นนี้
การละลายพฤติกรรมของชาวบ้านที่เดิมดูเหมือนจะไร้เดียงสา ไม่รู้หนาวรู้ร้อนว่าใครกำลังกอบโกยกินทรัพยากรของพวกตน เคยใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบไปวันๆ นานวันเมื่อน้ำซึมบ่อทราย กระทั่งคนกลุ่มต่างๆ ได้กลายเป็นแนวร่วมพลเมืองผู้ชาญฉลาดและทรงพลังได้นี้ ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในการสร้างทรัพยากรบุคคลเพื่อนำไปสู่ความพร้อมในการปฏิวัติ
เชยืนยันว่าจุดเป้าหมายหลัก ไม่ใช่แค่ “แย่งยื้ออำนาจจากมือบาติสตามาอยู่ในมือฟิเดล” หัวใจแห่งการปฏิวัติหาใช่สมบัติผลัดกันชมไม่ แต่มนุษยชาติถ้วนหน้าต้องได้รับการปลูกฝังให้เคารพความเท่าเทียม หากเป็นศัพท์สมัยใหม่ก็คือคำว่า “ประชาธิปไตย” หรือ “สิทธิพลเมือง” นั่นเอง (แต่ศัพท์เหล่านี้ไม่ได้ปรากฏในบันทึกของเช)
ชาวนา ชาวป่า ชาวเขา ผู้ตาสว่างค่อยๆ บอกต่อและบอกต่อ ตบเท้าหันมาเป็นแนวร่วมที่แข็งแกร่งในสงครามกองโจร ช่วยกันส่งเสบียงอาหาร หาอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพให้กับกอมมานดานเต เช และสหาย
ในที่สุด เชได้รับชัยชนะ ฟิเดล คาสโตร โค่นล้มรัฐบาลเผด็จการบาติสตาได้ เขาก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศคิวบาโดยมีสหายเชอยู่เบื้องหลัง
แล้วภารกิจเบื้องหน้าที่รอคอยนั้นเล่า มิยากยิ่งไปกว่าการปฏิวัติเพื่อให้ได้อำนาจในมือดอกหรือ

/ AFP PHOTO / BOHEMIA / HO
หลังจากการล่มสลายของรัฐบาลที่เคยมีจักรวรรดินิยมอเมริกาหนุนหลังมาอย่างยาวนานล้มครืน ซ้ำฝูงหมีขาวโซเวียตก็คอยจ้องรุมขย้ำ แต่แล้ว “ประเทศโลกที่สาม” ประเทศแรกนี้ กลับประกาศจะยืนหยัดบนลำแข้งของตนเอง
คิวบาย่อมเจอมหันตภัยโหมกระหน่ำสิบทิศ ไหนจะต้องรับมือกับการตัดน้ำตัดไฟถอนทุนทุบโรงงานของนายทุนผิวขาวที่ต้องสูญเสียผลประโยชน์ ไหนจะต้องทำตามคำมั่นสัญญาว่าจะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของสหายชาวนาที่เคยเป็นแนวร่วมในป่า ไหนจะต้องคอยระแวดระวังความระส่ำระสายของชนชั้นกลางบางกลุ่มที่ยังฝักใฝ่โซเวียต
ชัยชนะของ ฟิเดล คาสโตร จึงมิได้มีกลีบกุหลาบโปรยรออยู่ เขาจะบริหารจัดการประเทศ สังคม และผู้คนในสภาวการณ์ที่ปั่นป่วนนี้ได้อย่างไร ฟิเดลจะสามารถนำรัฐนาวาฝ่ากระแสคลื่นลมนี้ได้หรือไม่
แม้เชจะบอกว่า บัดนี้เขาได้ช่วยทวงคืนอิสรภาพสู่ประเทศคิวบาสำเร็จแล้ว ขอฝากแผ่นดินผืนนี้ให้ฟิเดลช่วยฟูมฟักดูแลคิวบาต่อในฐานะเจ้าของประเทศ บัดนี้เขาคงหมดหน้าที่แล้วกระมัง
แต่ฉากนั้นฟิเดลจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องจับไหล่ให้เชหันหลังกลับ และขอร้องเชว่า “ช้าก่อนสหาย นายต้องช่วยเรากอบกู้สถานการณ์อันหนักหนาสาหัสช่วงนี้ให้ผ่านพ้นไปก่อนสักระยะ เราต้องการมันสมองอันปราดเปรื่องก้อนนั้นจากนายเพียงคนเดียว”
เชต้องอยู่ช่วยฟิเดลบริหารประเทศ ไม่ใช่แค่ด้วยสมอง แต่ด้วยหัวใจ (เช่นเคย) ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ในคิวบา 2-3 กระทรวงเป็นระยะเวลานานถึง 5-6 ปี
ก่อนที่ฟิเดลจะยินยอมให้สหายเชจากไปเพื่อเดินสายปลดปล่อยอิสรภาพให้กับประเทศอื่นๆ ในโลกที่สาม