

โดดลงมาสนามการเมืองเพราะอยากรู้อีกรสชาติประสบการณ์ชีวิต หลังจากที่ผ่านมาได้แต่นั่งในห้องแอร์สวมบทเทคโนแครต ขลุกอยู่กับงานโทรคมนาคมของประเทศ ประสบการณ์ที่เห็นผลชัดๆ คือวางแผนประมูลงาน 5 จี ที่ใช้เวลา 5 ชั่วโมง 35 นาที ก็ได้เงินเข้ารัฐกว่าหนึ่งแสนล้านบาท “ฐากร ตัณฑสิทธิ์” เลยได้ฉายาเจ้าพ่อดิจิทัลไปครอง
ใช้เวลาว่างๆ หลังหมดวาระเลขาธิการ กสทช. “ฐากร” ลงคลุกดินกินข้าวแกงกับพี่ป้าน้าอาที่บ้านเกิด อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ เห็นความทุกข์ยากของคนอีสาน ทำให้ความรู้สึก “อุกอั่งใจแท้เด้อ” ปะทุ ตัดสินใจร่วมหัวจมท้ายกับ “พรรคไทยสร้างไทย” ของคุณหญิงหน่อย-สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นั่งตำแหน่งเลขาธิการพรรค วางบทบาทเป็นผู้ประสานสิบทิศ และเป็น 1 ในมันสมองของพรรคในศึกเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566
เมื่อถึงเวลาเสียงปี่เสียงกลองการเลือกตั้งบรรเลง เจ้าพ่อดิจิทัลนอนพลิกซ้ายพลิกขวาครุ่นคิดหาวิธีสร้างเศรษฐกิจประเทศไทยให้เติบโตยั่งยืนได้อย่างไร

ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย
“ฐากร” เคยผ่านยุคเศรษฐกิจรุ่งเรืองของไทยที่มีจีดีพีพุ่งกระฉูด สมัย “น้าชาติ” พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เปลี่ยนนโยบายเอาสนามรบมาเป็นสนามการค้า ดึงเพื่อนบ้านมาเป็นมิตร จีดีพีเวลานั้นทะลุเลข 2 ตัวติดๆ กัน 3 ปีซ้อน 13.3-12.2-11.2% เงินคงคลังมีมากถึง 1.8 แสนล้านบาท ไทยกำลังก้าวกระโดดเป็นเสือตัวที่ 5 ในเอเชีย
พลันที่วาดแผนบวกลบคูณหารเอาประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมารวมถึงสมัยเป็นเลขาธิการ กสทช. ผนวกเข้าด้วยกัน เห็นว่าเศรษฐกิจไทยวันนี้จะต้องเดินคู่ขนานกับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่เป็นเทรนด์ใหม่ของโลก
หนึ่งในแนวคิดที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ คือการเก็บเงินค่าใช้โครงสร้างพื้นฐานจาก “แพลตฟอร์มต่างชาติ” ไม่ว่ายูทูบ เฟซบุ๊ก หรือไลน์ ซึ่งใช้โครงสร้างพื้นฐานของไทยที่เอกชนไทยลงทุนเป็นแสนๆ ล้านบาทฟรีๆ
ก่อนพ้นตำแหน่งเลขาฯ กสทช.ก็เคยโยนแนวคิดนี้ในหน้าสื่อจนสร้างความฮือฮาไปเรียบร้อย
แต่การจะเก็บเงินจากพวกแพลตฟอร์มต่างชาติ “ไม่ได้หมู” อย่างที่คิด จึงลองหยั่งเชิงแนวคิดนี้กับตัวแทนแพลตฟอร์มต่างชาติ ได้คำตอบกลับมาว่า “ยังไงๆ ฉันก็ไม่จ่าย”
ทุกวันนี้แพลตฟอร์มทั้งหลายตั้งสำนักงานอยู่ที่สิงคโปร์ ใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของสิงคโปร์ อยู่ๆ ต้องมาจ่ายเงินให้เมืองไทย มันเป็นไปไม่ได้
แต่ถ้าจะให้จ่ายจริงก็ได้ ผู้บริหารเมืองไทยต้องให้บรรดาแพลตฟอร์มเหล่านี้เข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศไทย ซึ่งเขาพร้อมมากๆ ที่จะมาลงทุนทำธุรกิจในเมืองไทย
แต่น่าเสียดายที่ต้องมาตายด้วย “กระดาษแผ่นเดียว” คือ มาตรา7 และมาตรา8 พรบ ประกอบประกอบกิจการโทรคมนาคม 2544 ระบุว่าการจะให้ใบอนุญาตนักธุรกิจต่างชาติได้ธุรกิจนั้นต้องมีสัดส่วนการถือหุ้น 49 ต่อ 51 คือคนไทยถือหุ้นใหญ่ 51%
คนต่างด้าวเจ้าของถือ 49% กฎหมายนี้ถือเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงของการเข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทย
ถ้าจะเปิดทางให้ไทยก้าวไปพร้อมกับโลกควรจะต้องแขวน พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว เฉพาะมาตรา 7 ไว้ก่อนเพื่อเปิดให้มีการลงทุนในทันที
ทางยูทูบเองถ้าต้องเข้ามาลงทุนในเมืองไทย เขาจะต้องลงทุนเองทั้งระบบ คือมีการสร้าง ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ ต้องมีโครงข่ายของเขาเองเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน ถ้าแก้ไขกฎหมายนี้ได้ เขาพร้อมที่จะมาลงทุน
หากศึกษาดูกฎระเบียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ เห็นได้ว่าไม่มีประเทศไหนในโลกที่มากำหนดสัดส่วนการถือหุ้นในการทำธุรกิจ ว่าต่างชาติถือหุ้นเกินกว่านั้นเกินกว่านี้ไม่ได้ ขนาดธุรกิจทางด้านการเงินอย่างธนาคาร เวลานี้ยังไม่กำหนดแล้ว
ธุรกิจโทรคมนาคมทุกวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องของความมั่นคงแบบในอดีตเป็นเศรษฐกิจใหญ่ของโลกไปแล้ว
แต่ประเทศไทยมาติดขัดด้วย “กระดาษแผ่นเดียว”
ส่วนที่มีคนห่วงว่า วิธีการนี้จะเป็นการขายชาติหรือเปล่า “ฐากร” ชี้แจงว่า โลกวันนี้เข้าสู่ยุคดิจิทัล นานาประเทศเปลี่ยนนิยามของความมั่นคงกันใหม่ ไม่ว่าเรื่องของการโอนย้ายถ่ายเงิน ข้อมูลส่วนบุคคล ทุกวันนี้อยู่ในโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว มือถือยังใช้ควบคุมสั่งการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชนิด รวมถึงโดรนติดอาวุธทำลายล้าง
ถ้าเราดึงบริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ กูเกิล เข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ในไทย อำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ เราจะมีรายได้เข้าประเทศและเป็นโอกาสในการกำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้รั่วไหลออกนอกประเทศ
วันนี้ถ้าอยากเห็นภาพเศรษฐกิจไทยกลับมาเป็นเลขสองหลักก็ต้องช่วยกันแขวนกระดาษแผ่นเดียว เปิดโอกาสให้ต่างชาติมาลงทุน “พรรคไทยสร้างไทย” มุ่งมั่นทำเรื่องนี้
แล้วไม่ใช่แค่นั้น
เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทยยังเสนอทางออกให้ประเทศอยู่อย่างสันติสุข ลดความขัดแย้งทางสังคมอีกเรื่อง คือเสนอแก้ไขกฎหมายมาตรา 112
เรื่องของเรื่อง “เสี่ยน้อย-ฐากร” อธิบายว่า ที่ผ่านมาคนจำนวนไม่น้อยไม่เข้าใจในข้อกฎหมายเมื่อพูดถึงการแก้ไขกฎหมาย ม.112 จึงไม่ตรงประเด็น
การแก้ไข ม.112 นั้น ต้องแก้ที่ต้นเหตุคือ การระวางโทษ เพราะปัจจุบันนี้ ม.112 กำหนดระวางโทษขั้นต่ำ คือต้องจำคุกไม่ต่ำกว่า 3 ปี สูงสุดไม่เกิน 15 ปี
ถ้าหากมองย้อนกลับไปดูในอดีตที่ผ่านมา กฎหมายอาญามาตรานี้ เขียนระบุไว้เพียงว่า คนที่ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบัน จำคุกไม่เกิน 7 ปี เป็นการเขียนไว้ดีอยู่แล้ว แต่มาแก้ไขโดยคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เมื่อปี 2520
หัวหน้าคณะปฏิรูปตอนนั้นคือ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ได้แก้ไขประกาศคณะปฏิวัติ ปี 2519 ให้ระบุโทษขั้นต่ำไว้ จำคุกตั้งแต่ 3 ปี แต่ไม่เกิน 15 ปี จึงเกิดปัญหาการใช้กฎหมายมาจนถึงวันนี้ เนื่องจากศาลจะพิพากษาลงโทษอย่างอื่นไปไม่ได้แล้ว ต้องลงโทษขั้นต่ำก็จำคุก 3 ปี ขณะที่ของเดิมเขียนไว้ว่าจำคุกไม่เกิน 7 ปี
ดังนั้น เมื่อศาลพิจารณาพิพากษา ศาลจะลงโทษจำคุก 10 วันก็ได้ หรือ 1 เดือนก็ได้ แล้วปล่อยเด็กๆ ออกไป ทำให้ศาลมีทางออกช่วยกันปรองดองและรักษาสถาบัน ถ้าแก้ระวางโทษก็จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น มีทางออก
เพราะฉะนั้น พรรคไทยสร้างไทย ฟันธง ม.112 ต้องแก้ แต่แก้ระวางโทษในการลงโทษ ไม่ได้แก้ไขเนื้อหา เพื่อให้สอดคล้องกับการกระทำความผิดของแต่ละชั้นความผิด!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022