
ช็อตเด็ด 40 ส.ว.”พิชิต ศิษย์บางระจัน” | ลึกแต่ไม่ลับ

“ความประมาท เป็นบ่อเกิดแห่งความตาย ความไม่ประมาท เป็นหนทางแห่งความไม่ตาย” สุภาษิตสอนใจบทนี้ ยังใช้ได้ดีกับกรณี “สมาชิกวุฒิสภา” หรือ 40 ส.ว.ชุดที่กำลังกลายเป็น “นมบูด” แอบเข้าชื่อกันตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82
เพื่อส่งเรื่องให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “นายเศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของ “นายพิชิต ชื่นบาน” หลังมีพฤติกรรมเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 170(4) และ (5) ประเด็นว่าด้วยขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ต้องสิ้นสุดลงหรือไม่
ด้วยปรากฏว่า “นายเศรษฐา” ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้นำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “นายพิชิต” ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยผู้ถูกร้องที่ 1 ทั้งๆ ที่รู้ หรือควรรู้อยู่แล้วว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 ขาดคุณสมบัติมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 160(4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
“ผู้ร้อง” คือ “40 ส.ว.” เห็นว่า “นายเศรษฐา” ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้อาศัยตำแหน่งหน้าที่ความเป็นนายกรัฐมนตรี กระทำการโดยอาจมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 2 ด้วยการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ ด้วยการเสี่ยงและบิดเบือนข้อเท็จจริงในการให้ข้อมูลแก่สังคมและประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ถูกร้องที่ 2 เรียบร้อยแล้วว่าไม่ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งหมายความรวมถึงไม่ขาดคุณสมบัติ
ด้วยทั้งนี้ตามความจริงแล้ว ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาฉบับลงวันที่ 1 กันยายน 2566 ยังไม่ได้วินิจฉัยคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ 2 ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160(4) และ (5)
โดยสรุป ผู้ร้องในฐานะสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 40 คน เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ จึงขอให้ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องฉบับนี้ เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่าด้วยความเป็นรัฐมนตรีของ “นายเศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ “นายพิชิต ชื่นบาน” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 หรือไม่ และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญโดยผู้ถูกร้องทั้งสองหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรค 2
หนังสือของ 40 ส.ว. ส่งผ่านทาง “นายพรเพชร วิชิตชลชัย” ประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม และรวดเร็วดุจกามนิตหนุ่ม ในวันที่ 23 พฤษภาคม “ศาลรัฐธรรมนูญ” นัดประชุมพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้อง และเอกสารประกอบคำร้อง ตามที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ “นายเศรษฐา” ผู้ถูกร้องที่ 1 “นายพิชิต” ผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 หรือไม่
โดยมีมติ 6 ต่อ 3 รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย โดยให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่รับสำเนาคำร้อง
และมีมติ 5 ต่อ 4 ไม่ให้ผู้ถูกร้องที่ 1 คือ “นายเศรษฐา” หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย
2 วันก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญประชุมพิจารณาข้อเท็จจริง “นายพิชิต ชื่นบาน” ได้ชิงลาออกจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม ทั้งนี้ หนังสือลาออกระบุตอนหนึ่งว่า “เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และไม่กระทำต่อการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีที่มีความจำเป็นต้องเดินหน้าด้วยความต่อเนื่อง”
ส่วนผู้ถูกร้องที่ 1 คือ “นายเศรษฐา ทวีสิน” อยู่ระหว่างการเดินทางไปเยือนต่างประเทศ อยู่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อเข้าร่วมประชุมนิเคอิฟอรัม ลุ้นระทึกอยู่ต่างแดน แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากมีมติไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ขั้นตอนชี้แจงต่อศาลภายใน 15 วัน เจ้าตัวมั่นใจว่าสามารถชี้แจงต่อศาลได้
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า “นายเศรษฐา” แต่งตั้ง “นายพิชิต ชื่นบาน” เข้าประจำการ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ทำไม ใครเป็นคนผลักดัน หาเหาใส่หัว เอาไข่กระแทกหินชัดๆ จริงอยู่ ตามมาตรา 74 บัญญัติให้ “คณะกรรมการกฤษฎีกา” มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำร่างกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี หรือมติของคณะรัฐมนตรี รับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐหรือตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี หรือมติของคณะรัฐมนตรี เสนอความเห็นและข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้มีกฎหมาย
สรุป “คณะกรรมการกฤษฎีกา” เป็นกลไก กระบวนการสำคัญของรัฐบาลในการยกร่าง ตรวจพิจารณากฎหมาย กรณีของ “นายพิชิต ชื่นบาน” ก็มีหนังสือสอบถามเรื่องคุณสมบัติ แต่เป็นการสอบถามครั้งแรก เมื่อครั้งฟอร์มรัฐบาล “เศรษฐา 1”
คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ตอบมาเป็นลายลักษณ์อักษร ครบถ้วนบริบูรณ์ ลงวันที่ 1 กันยายน 2566 มีความชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ โดยขมวดปมไว้ตอนท้ายๆ ว่า หน้าที่และอำนาจ ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย การวินิจฉัยชี้ขาดเป็นที่สุด เป็นหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
แต่ในการแต่งตั้งตำแหน่งรัฐมนตรีชุด “เศรษฐา 1” กลับไม่ปรากฏชื่อ “นายพิชิต ชื่นบาน” มีชื่อเป็นรัฐมนตรี ชื่อกลับมาขึ้นทำเนียบนาม รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล “เศรษฐา 1/1” เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2567
และไม่ได้ถามซ้ำหมวดคุณสมบัติของ “นายพิชิต ชื่นบาน” อีกครั้งก่อนแต่งตั้ง กลับไปยึดโยงเอาคำตอบของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ตอบไว้ครั้งแรก มาเป็นห้องเครื่องในการแต่งตั้งขึ้นเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ
คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้หมกเม็ด วางยา ถามวัว ตอบควายแต่ประการใด เนื้อหา ความเห็นในทุกประเด็นของมาตรา 160 ทุกบทบัญญัติที่กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลซึ่งจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ถูกต้องตรงเผง ลงวันที่ 1 กันยายน 2566
แต่ปมจริยธรรม ที่เป็นช็อตเด็ดของ 40 ส.ว. ผู้แทนเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไม่ได้ถาม “คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษ” จึงไม่ได้ตอบ
เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องก็เลยเป็นเรื่อง “พิชิต ชื่นบาน” ก็เลยแปรสภาพเป็น “พิชิต ศิษย์บางระจัน” โดนทุบไส้แตก ฟุบกองเวที
ฮาราคีรีตัวเองแล้ว ไม่รู้จะเอาอยู่หรือไม่