
วัดปาฏิหาริย์พาณิชย์ : เขตธรณีสงฆ์สมัยใหม่ ภายใต้ลัทธิบูชาความมั่งคั่ง (6)

การออกแบบเขตธรณีสงฆ์ให้เต็มไปด้วยรูปเคารพหลากหลายลัทธิและศาสนาตลอดจนประดิษฐ์สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์แปลกใหม่นานาประเภทเพื่อดึงดูดสายมูเข้าวัด แม้จะเป็นแนวทางที่ประสบความสำเร็จ
แต่ในเมื่อทุกวัดก็สามารถสร้างเจ้าแม่กวนอิม พระพิฆเนศ เสด็จพ่อ ร.5 พญานาค หลวงพ่อทันใจ ไอ้ไข่ ท้าวเวสสุวรรณ ราหู ฯลฯ ได้เหมือนๆ กันภายใต้งบประมาณที่ไม่แพงอะไรนัก ดังนั้น วัดที่ต้องการเดินตามแนวทางนี้ หากไม่ใช่วัดต้นตำรับในการสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ เป็นแห่งแรก ก็ไม่ง่ายนักที่จะดึงคนเป็นจำนวนมากได้
ด้วยเหตุนี้ การสร้างจุดขายใหม่ที่ต้องแปลกไม่เหมือนใครจึงเป็นคุณลักษณะจำเป็นของวัดปาฏิหาริย์พาณิชย์ที่ต้องการประสบความสำเร็จ
จึงไม่แปลกที่เราจะได้ยินคำโปรยเชิญชวนเข้าวัดหลายแห่งในปัจจุบันในรูปแบบที่ไม่ต่างมากนักจากการโฆษณาขายสินค้าในโลกทุนนิยมที่ต้องสร้างจุดขายของสินค้า (วัดตนเอง) ที่แตกต่างจากสินค้า (วัดของเจ้าอื่น) และเต็มไปด้วยคำโปรยประเภท ใหญ่ที่สุด สูงที่สุด ยาวที่สุด แห่งแรก ฯลฯ
ในบรรดาแนวทางการสร้างความแปลกใหม่ทั้งหมด การออกแบบอาคารภายในวัดให้มีรูปร่างแปลกตา แตกต่างออกไปจากขนบปกติ ไปจนถึงแฟนตาซีเหนือจริงเพื่อดึงดูดให้คนมา “ท่องเที่ยว” (ไม่ได้เน้นการมาทำบุญหรือขอโชคลาภแบบสายมูเพียงอย่างเดียว) คือวิธีการที่กำลังกลายมาเป็นกระแสนิยมใหม่ในปัจจุบัน

วัดร่องขุ่น จ.เชียงราย
ที่มาภาพ : เพจ วัดร่องขุ่น – Wat Rong Khun-White Temple, Chiang Rai, Thailand
แน่นอน ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับการท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในอดีตการท่องเที่ยววัดเป็นไปด้วยเป้าหมายอื่น เช่น เพื่อสร้างความรักชาติ (เป้าหมายของภาครัฐ) เพื่อศึกษางานศิลปะและสถาปัตยกรรมในอดีต (เป้าหมายแบบนักวิชาการ) เพื่อพักผ่อนหย่อนใจไหว้พระ (เป้าหมายของคนทั่วไป)
ในขณะที่การท่องเที่ยววัดในสังคมร่วมสมัย เป้าหมายประการหนึ่งที่กำลังกลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การท่องเที่ยวเพื่อ “ถ่ายภาพตนเอง” กับอาคารหน้าตาแปลกใหม่ของวัดเพื่อแชร์ใน social media
แม้การถ่ายภาพจะเป็นเทคโนโลยีที่มีมานานแล้ว และการไปเที่ยววัดในอดีตพร้อมทั้งถ่ายภาพตนเองเก็บไว้ก็มีนานแล้วเช่นกัน แต่ความต่างระหว่างการถ่ายภาพยุคอดีตกับยุค social media นั้น มีนัยยะบางประการที่ต่างกัน
ในอดีตการถ่ายภาพเป้าหมายหลักคือการเก็บรักษา “ความทรงจำ” ของเราที่มีต่อสถานที่ที่นั้นๆ
แต่การถ่ายภาพในยุค social media เป้าหมายหลักมิใช่เก็บรักษาความทรงจำ แต่คือการแชร์ภาพเหล่านั้นให้กับคนทั่วไปได้มองเห็น เป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดง “ตัวตน” ของเราสู่สาธาณะ
(ดูเพิ่มใน Karaca, ?., Kemerci, M., Baran, Z., The Effect Of Social Media Use And Self-Promotion On Travel Photo Sharing, ARHUSS, (2022), 5(1) : 93-95.)

วัดร่องเสือเต้น จ.เชียงราย
ที่มาภาพ : เว็บไซต์ Planet Worldwide Service
ย้อนกลับมาที่ประเด็นบทความ ผมกำลังเสนอว่า วัดปาฏิหาริย์พาณิชย์แม้เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นไม่นาน (ราวทศวรรษ 2520) แต่ตัวมันก็มีพัฒนาการอยู่ตลอดภายใต้บริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และเมื่อโลกของเราก้าวเข้าสู่ยุคของ smart phone และ social media ที่เข้ามาเปลี่ยนโลกของเรา วิธีคิดของเรา และวิธีการนำเสนอตัวตนของเราสู่สาธารณะ ไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งวัดปาฏิหาริย์พาณิชย์ก็ปรับตัวเองเข้ากับสิ่งนี้อย่างรวดเร็วและใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ในการดึงดูดผู้คนให้เข้าวัด
การสร้าง Instagrammable temple น่าจะเป็นคำที่อธิบายการปรับตัวของวัดปาฏิหาริย์พาณิชย์ในแนวทางนี้ได้ชัดเจนที่สุด
Instagrammable ประกอบด้วยคำสองคำ คือ “Instagram” และ “able” ที่มีความหมายประมาณว่า อะไรบางอย่างหรือสถานที่บางแห่งที่ดึงดูดและคู่ควรเหมาะสมจะถ่ายภาพเพื่อนำมาแชร์ใน social media โดยตัวรูปศัพท์มาจากความนิยมมหาศาลที่มีต่อการใช้ Instagram ซึ่งเป็น social media ที่เน้นการแชร์รูปภาพมากกว่าข้อความ และเมื่อเอาคำนี้มาประกบเข้ากับคำว่า temple จึงหมายความถึง “วัดที่ออกแบบขึ้นอย่างน่าดึงดูดสำหรับการมาถ่ายภาพเพื่อแชร์ใน social media”
ประเด็นคือ เงื่อนไขความน่าดึงดูดของสถานที่นั้นๆ ต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง?

วัดสิรินธรารามภูพร้าว จ.อุบลราชธานี
ที่มาภาพ : Wikipedia โดย Preecha.MJ
จากการตามอ่านงานที่วิเคราะห์ในเรื่องนี้มาบ้าง พบว่า เงื่อนไขหลักควรประกอบไปด้วย
หนึ่ง มีความน่าดึงดูดทางสายตา (visual appeal) ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามหรือน่าตื่นตาตื่นใจ
สอง มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร (Uniqueness)
และสาม คู่ควรกับการถ่ายภาพ (Photo-Worthiness) หมายถึงสถานที่ถูกออกแบบมาให้เอื้อกับการถ่ายภาพ เช่น มีการจัดวางมุมมองที่ดี การจัดแสงไฟที่เหมาะสม ฯลฯ
ควรกล่าวไว้ก่อนว่า การเป็น Instagrammable temple มิได้หมายความว่าต้องเป็นวัดปาฏิหาริย์พาณิชย์เสมอไปนะครับ
มีวัดเป็นจำนวนมากที่มีคุณลักษณะของการท่องเที่ยวและถ่ายภาพโดยที่ตัววัดมิได้เน้นการเป็นวัดปาฏิหาริย์พาณิชย์แต่อย่างใด
โบราณสถานส่วนใหญ่มักมีคุณสมบัติดังกล่าว ตัวอย่างเช่น วัดอรุณราชวราราม และ วัดไชยวัฒนาราม คือโบราณสถานที่ถูกยกให้เป็น Instagrammable temple อันดับต้นๆ ของไทย
แต่ตัววัดมิได้มีลักษณะของวัดปฏิหาริย์พาณิชย์
ส่วนตัวอย่างวัดที่สร้างขึ้นใหม่ โดยมีคุณสมบัติดังกล่าวและไม่ได้เป็นวัดปาฏิหาริย์พาณิชย์ คือ “วัดร่องขุ่น” จ.เชียงราย เริ่มสร้างราวต้นทศวรรษ 2540 โดย เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ตัวอาคารในวัดถูกสร้างขึ้นในลักษณะเสมือนเป็นการแปลงรูปแบบการเขียนภาพจิตรกรรมไทยแนวเฉลิมชัยที่มีชื่อเสียงยาวนานในแวดวงศิลปะให้กลายเป็นงานสถาปัตยกรรมที่คนสามารถใช้สอยภายในได้
ซึ่งการแปลงภาพเขียนแบนราบสองมิติที่มีรูปแบบศิลปะค่อนข้างเหนือจริง มาสู่งานสถาปัตยกรรมแบบสามมิติขนาดใหญ่ ตลอดจนการเลือกใช้โทนสีขาวคลุมทั้งตัวอาคาร ทั้งภายนอก ภายใน แม้กระทั่งหลังคา จนถูกเรียกว่า “วัดสีขาว” ทั้งหมดได้สร้างรสชาติใหม่และบรรยากาศของความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้พบเห็นอย่างมาก
เมื่อผนวกกับการจัดแสงไฟและการออกแบบพื้นที่โดยรอบที่เอื้อต่อการถ่ายภาพ ก็ทำให้วัดร่องขุ่นประสบความสำเร็จมาก นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศต่างหลั่งไหลล้นหลามมาเที่ยวชมและถ่ายภาพ ถึงขนาดที่มีความพยายามสร้างสถานที่ท่องเที่ยวในสิบสองปันนาโดยอ้างอิงรูปแบบทางศิลปกรรมของวัดร่องขุ่นไปใช้
ในทัศนะผม วัดร่องขุ่นก้าวข้ามความหมายของพื้นที่วัดในแบบเดิมมาสู่พื้นที่ใหม่ที่ซ้อนทับกันระหว่างการเป็นงาน Installation Art ขนาดใหญ่กลางแจ้ง สถานที่ท่องเที่ยว และวัด ซึ่งคุณลักษณะทั้งสามเมื่อหลอมรวมเข้าหากันได้กลายเป็นลักษณะเฉพาะที่สำคัญของ Instagrammable temple ในสังคมไทยร่วมสมัย
และกลายเป็นต้นแบบให้วัดอื่นๆ ดำเนินรอยตาม
วัดที่รับอิทธิพลมาโดยตรงคือวิหาร “วัดร่องเสือเต้น” จ.เชียงราย ในปี พ.ศ.2548 ออกแบบและก่อสร้างโดย พุทธา กาบแก้ว ลูกศิษย์ใกล้ชิดของเฉลิมชัย วัดแห่งนี้มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า “วัดสีน้ำเงิน” เพราะตัววิหารออกแบบโดยใช้สีน้ำเงินเป็นสีหลัก ซึ่งเป็นคำเรียกที่เชื่อมโยงกลับไปสู่ “วัดสีขาว” ของวัดร่องขุ่นโดยตรง
และนอกจากการเล่นโทนสีแบบโมโนโทนเหมือนกันแล้ว งานศิลปกรรมประดับตกแต่งยังได้รับอิทธิพลจากวัดร่องขุ่นชัดเจน
อย่างไรก็ตาม แม้รูปแบบจะคล้ายคลึงกันอีกทั้งยังตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกัน แต่การเลือกสร้างวิหารวัดร่องเสือเต้นด้วยโทนสีน้ำเงินทั้งภายนอกภายในก็ทำให้เข้าสูตรของการเป็น Instagrammable temple ได้ และสามารถดึงดูดผู้คนให้มาเที่ยววัดได้มากพอสมควร
อีกตัวอย่างคืออุโบสถ “วัดสิรินธรารามภูพร้าว” จ.อุบลราชธานี สร้างขึ้นราวปลายทศวรรษ 2540 ตัวอาคารตั้งใจอ้างอิงรูปแบบมาจาก “วัดเชียงทอง” เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว ซึ่งการอ้างอิงวัดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของหลวงพระบางดังกล่าว สะท้อนให้เห็นเป้าหมายในเชิงการท่องเที่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ดังที่กล่าวไป คุณสมบัติของ Instagrammable temple ที่จะประสบความสำเร็จจะต้องมีความพิเศษอะไรบางอย่างที่ไม่มีที่ไหนเหมือนและสามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจทางสายตา ซึ่งวัดแห่งนี้ก็ทำได้ดีโดยมีการใช้กระเบื้องที่เคลือบสารฟลูออเรสเซนต์ นำมาติดประดับลวดลายต้นกัลปพฤกษ์ด้านหลังตัวพระอุโบสถ และลวดลายก้านขดขนาดใหญ่บนพื้นลานรอบตัวพระอุโบสถ ซึ่งส่งผลทำให้ลวดลายจะเรืองแสงขึ้นเองในยามเย็น
กลายเป็น “วัดเรืองแสง” ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากให้มาเยี่ยมชมและถ่ายภาพแชร์ลงใน social media
ในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา Instagrammable temple หลายแห่งประสบความสำเร็จมากในสังคมไทย และด้วยความสำเร็จเช่นนี้เองจึงไม่แปลกที่วัดปาฏิหาริย์พาณิชย์หลายแห่งจึงเลือกใช้วิธีการนี้เข้ามาผสมผสานกับแนวทางการออกแบบภายในวัดของตนเอง ซึ่งรายละเอียดจะกล่าวต่อไปในสัปดาห์หน้า
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022