เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

วิธีการได้มาซึ่ง ส.ว. 67 ระบบที่ถูกออกแบบมาให้ฮั้วในตัวเอง

26.06.2024

สัปดาห์ก่อนผมเขียนบทความเรื่อง “ปริศนานครหลวงสระบุรี” ค้างไว้ เดิมตั้งใจว่าสัปดาห์นี้จะลงตอนจบ แต่เห็นว่าสัปดาห์หน้าเป็นการเลือกสรร ส.ว.รอบสุดท้ายในระดับประเทศแล้ว หลังจากนั้นเรื่อง ส.ว.ก็อาจไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่ เลยขอลัดคิวเอางานที่เขียนถึงการเลือกสรร ส.ว.มาลงในตอนนี้เลย ส่วนเรื่องนครหลวงสระบุรีไม่ใช่ประเด็นเร่งด่วน เดี๋ยวค่อยเอามาลงภายหลังก็ได้

เรื่อง ส.ว.นี้มาจากการเข้าไปติดตามสังเกตการณ์พฤติกรรมของกลุ่มผู้สมัคร ส.ว.ในจังหวัดภาคกลางอย่างใกล้ชิด โดยเลือกมา 1 อำเภอ แล้วตามติดพวกเขาไปเรื่อยๆ จนถึงในระดับประเทศ ทำให้แบ่งลักษณะของผู้สมัครออกมาได้ว่ามี 3 ประเภท ดังนี้

(1) จัดตั้งกลุ่มใหญ่ (2) จัดตั้งกลุ่มเล็ก และ (3) มาคนเดียว

 

1.ประเภทแรก “จัดตั้งกลุ่มใหญ่” เป็นแบบจัดตั้งกันมาเป็นกลุ่มจำนวนหลายคน ซึ่งมีผู้มีอิทธิพลรายใหญ่เป็นผู้รวบรวมคนให้ได้จำนวนมาก ตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เข้ามาเพื่อการันตีการเข้ารอบของผู้สมัครบางคน โดยคนในกลุ่มจะมีพฤติกรรมการเลือกแบบพลีชีพ คือเลือกคนอื่นทั้งสองเบอร์ แต่ไม่เลือกตัวเองเลย

ผู้สมัครแบบนี้ไม่ได้ออกค่าสมัครเอง และมีค่าเสียเวลาเพิ่มให้ด้วย

เมื่อผ่านรอบแรกไปแล้ว ผู้สมัครประเภทนี้ส่วนใหญ่จะตกรอบ แต่ก็ได้ส่งคนที่วางเอาไว้เข้าไปสู่รอบสองแล้ว

เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ

 

2.แบบที่สอง “จัดตั้งกลุ่มเล็ก” คือชวนกันมาไม่กี่คน พวกนี้จะมากันเป็นกลุ่มเล็กๆ มีตั้งแต่สองคนแบบคู่บัดดี้ สามคน สี่คน ประมาณนี้ ทั้งหมดจะรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีมาก่อนแล้ว บางคนจ่ายค่าสมัครเอง บางคนก็ไม่ได้จ่าย

พูดง่ายๆ คือการรวมตัวจัดตั้งกันมาจากความสนิทสนม ทำให้ตกลงกันง่าย และตกลงกันได้ชัดเจนมาตั้งแต่ก่อนถึงวันเลือกในระดับอำเภอแล้ว

ซึ่งในระดับนี้ก็มีผู้สมัครไม่มาก บางจังหวัดมีผู้สมัครไม่ครบทุกกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มักมีจำนวนไม่ครบ คือมีไม่ถึงสามคนด้วยซ้ำ แกนนำของผู้สมัครประเภทนี้จะเป็นคนบริหารจัดการเสียง ทำให้มีคะแนนตุนไว้ก่อนเป็นการยืนพื้น

หลังจากวันปิดรับสมัครก็ค่อยตระเวนขอคะแนนเพิ่มเติมจากผู้สมัครกลุ่มอื่นในอำเภอเดียวกันเพื่อเป็นหลักประกันในรอบไขว้

 

3.แบบที่สาม “ข้ามาคนเดียว” ผู้สมัครประเภทนี้จ่ายค่าสมัครเอง และไม่ค่อยรู้จักใครมากนัก แต่เมื่อสมัครไปแล้วก็จะเกิดการเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกที่เกาะกลุ่มอยู่แต่เดิม

วิธีหลักในการเข้าไปรวมกลุ่มก็คือทางแอพพลิเคชั่นไลน์ พื้นที่หลักในการพูดคุยคือไลน์กลุ่ม จากนั้นจะมีการแยกทักไปทางไลน์ส่วนตัว

พอใกล้วันเลือกก็มีนัดเจอกันสองต่อสอง และนัดกันแบบเป็นหมู่คณะด้วย

ผู้สมัครประเภทนี้แม้มาคนเดียวตอนสมัครก็จริง แต่ในภายหลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาชีพและกลุ่มพื้นที่ ซึ่งถ้าเจรจากันรู้เรื่องก็มีโอกาสเข้ารอบลึกได้

ผู้สมัครแบบมาคนเดียวหากไม่สามารถตกลงกับผู้สมัครคนอื่นให้ลงตัวได้จะถูกบล็อกออกไปเรื่อยๆ ทีละคน วิธีการบล็อกก็ง่ายดายคือคนในกลุ่มจับมือกันให้เรียบร้อยว่าเสียงโหวตของแต่ละคนจะไปลงให้ใคร คนที่ไม่ได้รับการจัดสรรคะแนนจากกลุ่มจะตกรอบอย่างรวดเร็วในรอบแรกของระดับอำเภอ

ดังนั้น ที่ฝันหวานกันว่าผู้สมัครจะเลือกคนจากโปรไฟล์ ความรู้ ความสามารถ หรือเลือกจากชื่อเสียง ดี เด่น ดัง อะไรที่พูดๆ กันจึงไม่เป็นความจริง

เพราะในทางปฏิบัติไม่มีใครใช้เหตุผลไตร่ตรองถึงประวัติของผู้สมัครคนอื่น ไม่สนใจโปรไฟล์ใครทั้งสิ้น สนใจแต่เพียงว่าตกลงกันมาอย่างไร ใครต้องเลือกให้ใคร

ซึ่งวิธีการเตี๊ยมแบบนี้ไม่ได้มีแค่พูดคุยเฉยๆ แต่มีการนัดหมายซักซ้อมลงคะแนน แจกโพย หรือจำลองสถานการณ์ในวันจริงตามสถานที่ซึ่งแกนนำกลุ่มจัดเตรียมไว้

 

กลไกของการตกลงกันคือ “แลกเปลี่ยนคะแนน” ตลอดจนการสัญญาว่าจะให้ตำแหน่งต่างๆ เมื่อตนเองได้เป็น ส.ว.แล้ว รวมไปถึงการหยิบยื่นเงินทองและผลประโยชน์ ซึ่งเกือบทั้งหมดทำแบบปิดลับเป็นการส่วนตัว จึงแทบไม่มีหลักฐานหลงเหลืออยู่ มีแต่เพียงคำบอกเล่าจากใครคนใดคนหนึ่งซึ่งก็ไม่เพียงพอไปมัดตัวคนเหล่านั้นได้ ประกอบกับตัวผู้เล่าเองก็เป็นผู้ร่วมขบวนการ ดังนั้น จึงไม่อยากให้เรื่องแดง เพราะจะเดือดร้อนไปด้วย

เมื่อสนามแข่งจริงๆ อยู่นอกคูหา การเลือกในวันจริงระดับอำเภอจึงรวดเร็วและเรียบร้อย เนื่องจากสงครามได้จบสิ้นมาตั้งแต่ก่อนถึงวันลงคะแนน 9 มิถุนายนแล้ว

การที่มีผู้สมัครน้อยทำให้การจัดสรรไกล่เกลี่ยคะแนนค่อนข้างราบรื่น แต่ปัญหาจะมากขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อมาถึงระดับจังหวัด

เพราะในขณะที่ระดับอำเภอมีบางคนเข้ามาเพื่อเลือกคนอื่น แต่ระดับจังหวัดผู้สมัครทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการเข้ารอบด้วยกันทั้งสิ้น การยอมสละคะแนนไปให้คนอื่นจึงเป็นไปได้ยากกว่าเดิมมาก

นอกจากนี้ วิธีการ “วิ่งเต้น” เพื่อสร้างพันธมิตรในการแลกเปลี่ยนคะแนนกันก็ยากเป็นทวีคูณด้วย ซึ่งมาจากหลายปัจจัย เช่น พื้นที่ปฏิบัติการกว้าง

ยิ่งจังหวัดไหนใหญ่ก็ยิ่งวิ่งไปมาหาสู่กันได้ลำบากกว่าจังหวัดเล็ก แถมยังไม่รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน ไม่ได้มีโอกาสคุ้นหน้าคุ้นตากันในพื้นที่เล็กและวงสังคมแคบๆ แบบระดับอำเภอ

ผลจากความไม่แน่นอนของข้อตกลงระหว่างกัน ประกอบกับความปรารถนาจะเข้ารอบ ทำให้เกิดเหตุการณ์ “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” เป็นจำนวนมากในระดับจังหวัด คือหักหลังกัน ไม่มาตามสัญญา บอกว่าจะกาแต่กาไม่จริง

 

ทั้งนี้ ต้องเข้าใจด้วยว่าระบบการเลือกสรร ส.ว.แบบนี้ถูกออกแบบมาให้ฮั้วกันโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว เพราะกำหนดให้ผู้สมัครมีสิทธิเลือกในกลุ่ม 2 คะแนน โดยที่จะเลือกตัวเองหรือไม่ก็ได้ แต่ห้ามเลือกเบอร์เดียวซ้ำ 2 คะแนน วิธีการเช่นนี้ไม่มีเหตุผลใดมารองรับเลย ทำไมผู้สมัครจึงต้องเลือกตัวเองไปพร้อมกับเลือกคนอื่นด้วย แล้วทำไมผู้สมัครถึงเลือกตัวเองก็ได้ไม่เลือกก็ได้

ลองจินตนาการถึงการเลือกตั้งแบบปกติ เช่น การเลือก ส.ส. อบต. อบจ. เทศบาล ฯลฯ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคนมี 1 เสียงเพื่อไปเลือกคนอื่นเท่านั้น แต่นี่กลับมี 2 เสียง เพื่ออะไร? ทำไมถึงไม่แยกระหว่างผู้สมัครกับผู้ลงคะแนนออกจากกันแล้วให้มีสิทธิลงคะแนน 1 เสียงแบบการเลือกตั้งปกติ

แต่ในเมื่อไปออกแบบระบบที่ไม่แยกระหว่าง “ผู้สมัคร” กับ “ผู้ออกเสียง” ออกจากกัน จึงทำให้เกิดผลที่ตามมาคือความขัดกันของผลประโยชน์หรือที่เรียกว่า “ผลประโยชน์ทับซ้อน” (conflict of interest) นั่นเอง

คือหากผู้สมัครลงคะแนนเสียงให้คนอื่น ตัวเองจะมีโอกาสเข้ารอบน้อยลง ดังนั้น คนตัดสินกับคนแข่งขันจะเป็นคนเดียวกันไม่ได้ ต้องออกแบบมิให้ “คนเลือก” กับ “คนที่ถูกเลือก” เป็นคนเดียวกัน

กติกาเช่นนี้หากทุกคนไม่รู้จักกันเลยและไม่ได้ตกลงอะไรมาก่อน วิธีเลือกที่ทำให้ตนมีโอกาสเข้ารอบมากที่สุดก็คือกาเบอร์ตัวเองเบอร์เดียวเท่านั้น ไม่เลือกใครเลยยกเว้นตนเอง

แต่หากปล่อยให้พูดคุยตกลงกันได้ก่อนวันเลือก ผู้ที่รวมตัวเป็นกลุ่มแล้วจัดสรรแลกคะแนนกันอย่างเป็นระบบจะเขี่ยพวกที่มาคนเดียวออกไปได้อย่างรวดเร็ว

 

สรุปก็คือระบบการเลือกสรร ส.ว. 2567 ที่คุยนักคุยหนาว่าสร้างมาเพื่อป้องกันการฮั้ว

กลับกลายเป็นการออกแบบให้ฮั้วโดยตัวระบบเองในทุกกระบวนการ

ซึ่งทำให้การชิงชัยเก้าอี้ ส.ว.ในระบบนี้ผู้สมัครจะต้องตกลงกันให้ได้คะแนนเสียงมาตั้งแต่ก่อนถึงวันเลือกแล้ว

เพราะฉะนั้นที่ประกาศปาวๆ ว่าไม่มีการฮั้วจึงไม่ใช่ความจริง ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้คำใดมาแทนเท่านั้นเอง

จะเป็นคำว่าตกลง จับมือ แลกเปลี่ยน พันธมิตร เตี๊ยม เพื่อน กอดคอ ผนึกกำลัง บัดดี้ ทีม ฯลฯ หรือคำอะไรก็แล้วแต่

เอาเข้าจริงๆ ในเวที ส.ว. 2567 พฤติการณ์เช่นนี้ก็มีความหมายเดียวกันทั้งนั้น



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

‘ฮุน มาเนต’ เล็งเดินหน้าใช้กฎหมาย ‘บังคับเกณฑ์ทหาร’ เริ่มปี 2026 ชี้เพื่อเสริมสร้างกำลังทหารของประเทศ เพิ่มระยะเวลาการฝึกภาคบังคับ เป็น 24 เดือน
“รมว.นฤมล”ถก ก.ค.ศ.-สพฐ.เร่งลดภาระงานครู เผย เตรียมดึงครูเกินเกณฑ์ไปทำธุรการ แก้ปัญหา รร.ขนาดเล็ก ขาดบุคลากร โดยไม่ต้องเพิ่มงบ
ธำรงศักดิ์โพล ชี้ผลสำรวจ ให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มาจากเลือกตั้งดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 สมัย ร้อยละ 27.45
‘ลิณธิภรณ์’ ลุยสานต่อทุน ODOS รุ่น 3 คัด 1,200 เด็กยากจนพิเศษทั่วประเทศ ย้ำรัฐบาล ‘แพทองธาร‘ มุ่งสร้าง “สะพานเชื่อมโอกาส” ให้ช้างเผือกไทยก้าวสู่เวทีโลก
ลอย แนะทีมไทยแลนด์ เจรจาเปิดตลาดสินค้าเป้าหมายสหรัฐฯ แบบเจาะจง – ขอยกเว้นภาษีเฉพาะ sector วางแผน3ระยะ
‘เสียดินแดน’ เป็นประวัติศาสตร์มโน
The Good, the Bad and the Ugly 20 ปี เล่นการเมือง ในหุบเหว
เลือกตั้งเมียนมา วิถีที่สวนทางกับสันติภาพ
พรรคอเมริกา ทางเลือกใหม่มะกันชน กับเส้นทางสุดหิน
‘อานันท์ ปันยารชุน’ ย้อนอดีตยุค ‘ปลายสงครามเย็น’ ก่อนเปิดม่านสัมพันธ์ ‘ไทย-จีน’
‘ว่าน’ ธนกฤต เปิดใจรักครั้งใหม่ เรียบง่ายและลงตัว กับ ‘สารวัตรบีบี’ พ.ต.ต.หญิง ศรัญญา
‘สงฆ์ไทย’ กลับหลังหัน ‘นิพพาน’ เส้นทางที่ไม่มีอยู่จริง