

พลันที่ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือโทลล์เวย์ ประกาศปรับราคาขึ้นค่าผ่านทาง 5-10 บาท เริ่ม 22 ธันวาคม 2567 นี้ ตามสัญญาสัมปทานที่ทำไว้กับกรมทางหลวง (ทล.) ที่ให้ปรับได้ทุก 5 ปี จากเดิม อัตราค่าผ่านทางยกระดับช่วงดินแดง-ดอนเมือง รถ 4 ล้อ 80 บาท และรถมากกว่า 4 ล้อ 110 บาท เป็น 90-120 บาท ได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชน เนื่องจากค่าผ่านทางที่จะปรับแพงขึ้นในยุคเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพสูง
ร้อนใจถึง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รีบต่อสายตรงถึง สมบัติ พานิชชีวะ ประธานกรรมการบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือโทลล์เวย์ เพื่อเจรจาหารือแนวทางการปรับลดราคาค่าผ่านทางโทลล์เวย์และเสนอแนวทางการขยายสัญญาสัมปทาน
พร้อมหมอบหมายให้กรมทางหลวงและสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เจรจาเสริมทัพ แต่ยังต้องลุ้นกันต่อไปว่าผลสรุปจะเป็นแนวทางเช่นไร
ไม่เพียงแค่ค่าทางด่วนที่เตรียมขยับราคาขึ้น เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) มีการปรับอัตราค่าโดยสาร เพิ่มขึ้น 1-2 บาท เริ่มต้น 17 บาท สูงสุด 45 บาท (จากเดิม เริ่มต้น 17 บาท สูงสุด 43 บาท) มีผลถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2569
การปรับขึ้นค่าโดยสารดังกล่าว จึงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับกระทรวงคมนาคมยุค สุริยะ จากพรรคเพื่อไทย ที่จะงัดกลยุทธ์ควบคุมราคาทั้งค่าโทลล์เวย์และค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายให้อยู่ในเกณฑ์ราคาที่ประชาชนรับไหว ในยุคเศรษฐกิจที่เปราะบางและกำลังซื้ออ่อนแอจนน่าเป็นห่วง พร้อมรักษาคะแนนนิยมของพรรค
ประเด็น ดอนเมืองโทลล์เวย์ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง ได้รับสัมปทานจากกรมทางหลวงให้สร้างบนทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 31 ถนนวิภาวดีรังสิต ระยะทางสัมปทานทั้งสิ้นประมาณ 21 กิโลเมตร โดยบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) รับสัมปทานมาในรูปแบบ BTO (Build-Transfer-Operated) และเมื่อทางบริษัทได้ก่อสร้างทางยกระดับและอาคารแล้วเสร็จ บริษัทฯ จึงได้โอนกรรมสิทธิ์ในทางยกระดับอุตราภิมุขทั้งหมดให้แก่กรมทางหลวง
นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังได้รับสิทธิในการบริหารจัดการทางยกระดับตามข้อกำหนดในสัญญาสัมปทาน รวมถึงสิทธิในการจัดเก็บค่าผ่านทาง และต้องปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานที่มีต่อกรมทางหลวง ระยะสัญญารวมทั้งหมด 45 ปี เนื่องจากในรายละเอียดสัญญาระบุว่าครบวาระที่ต้องปรับขึ้นทุกๆ 5 ปี รวมประมาณ 5-10 บาท ดังนั้น จึงต้องมีการปรับค่าผ่านทางตามที่ในสัญญาระบุไว้ชัดเจน
มุมเอกชน สมบัติ ระบุ หากรัฐจะขอปรับราคาทางด่วนพิเศษ ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่รัฐจะต้องชดเชยด้วย จะให้ภาคเอกชนแบกรับฝ่ายเดียวไม่ได้ และจะอยู่ภายใต้ 3 เงื่อนไข ที่หน่วยงานรัฐจะต้องเลือกทางใดทางหนึ่งเพื่อแลกกับการไม่ปรับขึ้นราคาดังกล่าว
ประกอบด้วย การขยายสัญญาสัมปทาน การจ่ายเงินชดเชย และประการสุดท้ายคือ ให้ก่อสร้างส่วนต่อขยายจากรังสิต-บางปะอินให้และรับสัมปทานตลอดโครงการตั้งแต่ดินแดง-บางปะอิน
รายละเอียด ค่าผ่านทางที่ปรับใหม่และจะประกาศใช้ครั้งต่อไปในวันที่ 22 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2572 เบื้องต้น ช่วงดินแดง-ดอนเมือง รถ 4 ล้อ ปรับจาก 80 บาท เป็น 90 บาท มากกว่า 4 ล้อ จาก 110 บาท เป็น 120 บาท ช่วงดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน 4 ล้อ ปรับจาก 35 บาท เป็น 40 บาท มากกว่า 4 ล้อ จาก 45 บาท เป็น 50 บาท
ส่วนค่าผ่านทางวาระสุดท้ายก่อนสิ้นสุดสัญญา จะเริ่มปรับขึ้นวันที่ 22 ธันวาคม 2572 จนสิ้นสุดอายุสัมปทาน ช่วงดินแดง-ดอนเมือง รถ 4 ล้อ จาก 90 บาท เป็น 100 บาท มากกว่า 4 ล้อ จาก 120 บาท เป็น 130 บาท ช่วงดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน รถ 4 ล้อ จาก 40 บาท เป็น 45 บาท มากกว่า 4 ล้อ ปรับจาก 50 บาท เป็น 55 บาท
จับตาข้อสรุปจากกระทรวงคมนาคม เบื้องต้นระบุจะใช้เวลา 2-3 เดือนในการหาข้อสรุปที่ชัดเจนทั้ง 2 ฝ่าย น่าจะชัดเจนเดือนสิงหาคม ไม่เกินเดือนกันยายนนี้
ด้านการปรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) เพิ่มขึ้น 1-2 บาท เริ่มต้น 17 บาท สูงสุด 45 บาท (จากเดิมเริ่มต้น 17 บาท สูงสุด 43 บาท) มีผลถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2569
แน่นอนมีความย้อนแย้งกับนโยบายของ สุริยะ ที่กำลังเดินหน้าลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เพื่อดูแลค่าครองชีพประชาชน
ปัจจุบันดำเนินการแล้ว 2 สาย คือ รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ โดย สุริยะ มั่นใจว่ารถไฟฟ้าทุกสี และทุกสาย จะเข้าร่วมนโยบาย 20 บาทได้ทั้งหมดสำเร็จภายในระยะเวลาประมาณ 2 ปี หรือช่วงเดือนกันยายน 2568
และปัจจุบันอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าในประเทศไทย ดังนี้ รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) อัตราค่าโดยสารเริ่มต้น 17 บาท สูงสุด 45 บาท รถไฟฟ้ามหานคร สายนัคราพิพัฒน์ (สีเหลือง) อัตราค่าโดยสารเริ่มต้น 15-45 บาท รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี อัตราค่าโดยสารเริ่มต้น 15-45 บาท และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สายสีเขียว) อัตราค่าโดยสารสูงสุด อยู่ที่ 62 บาท
รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ 20 บาทตลอดสาย และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงก์ อัตราราคาทั่วไป 15-45 บาท
ผลจากการขึ้นราคาสายสีน้ำเงิน จึงถูกตั้งคำถามว่านโยบาย 20 ตลอดสายจะเป็นไปได้หรือ
สอบถามความเห็นจาก เอกชัย สุมาลี อาจารย์ประจำหลักสูตรสถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า กรณีการขึ้นราคาค่าดอนเมืองโทลล์เวย์ เป็นไปตามสัญญาสัมปทานที่เอกชนทำไว้กับกรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคมเอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงมีแนวทางรายละเอียดที่ชัดเจนในการต่อรองเจรจากับภาคเอกชน การเจรจาประเด็นดังกล่าวมองว่าไม่ได้เป็นการเอื้อเอกชนแต่อย่างใด สิ่งที่สำคัญคือเนื้อหาที่จะนำไปเจรจาต่อรอง เช่น จะขยายสัญญาสัมปทานในรูปแบบไหน และภายหลังสัญญาสัมปทานครบกำหนดปี 2577 จะปรับรูปแบบเป็นจ้างดูแลรักษาหรือไม่
เอกชัย ระบุอีกว่า สำหรับราคารถไฟฟ้า ปัจจุบันมี 2 สาย คือ รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ราคา 20 บาทตลอดสาย เพราะเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจดูแลและกำกับโดยตรง แต่สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และรถไฟฟ้ามหานคร สายนัคราพิพัฒน์ (สีเหลือง) เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนถือสัมปทานสัญญาคู่ รวมทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอส (สายสีเขียว)
ดังนั้น การปรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าเส้นทางเหล่านี้จึงค่อนข้างยากที่จะลดราคาเหลือ 20 บาทตลอดสาย เนื่องจากมีสัญญาสัมปทานที่รัฐผูกไว้ร่วมกับเอกชน
“ทางออกของราคารถไฟฟ้า คือ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ให้มีผลบังคับใช้ในปี 2568 ที่กระทรวงคมนาคมกำลังผลักดัน พ.ร.บ.ตัวนี้จะช่วยแก้ปัญหาสัญญาสัมปทานเดิมที่ร่างเอาไว้ ดูแลราคาได้ผ่านการจัดตั้งกองทุน มีเงินชดเชยให้เอกชน”
ติดตามข้อสรุปทั้ง 2 ปม จะลดได้จริง หรือรอเก้อ เพราะทุกบทสรุปจะสะท้อนคะแนนนิยมพรรคเพื่อไทยแน่นอน!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022