

ย่อมเป็นเรื่องเข้าใจได้ เมื่อผู้มีหน้าที่ในรัฐบาล และผู้มีหัวใจใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน จะมีความเห็นต่อการแสดงออกของ “วรชัย เหมะ” ในทางตอบโต้มากกว่าที่จะรับฟัง
เพราะแม้ “วรชัย” ในฐานะแกนนำเสื้อแดง ที่มีเครดิตระดับได้รับแต่งตั้งเป็น “ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี” แต่เมื่อเป็นการเสนอความเห็นไปในทาง “การทำงานที่ผ่านมาของนายกฯ ด้วยความขยัน ความอดทน แต่ไม่เร็วพอที่จะทำให้ประชาชนพึงพอใจได้” ด้วยการชี้ให้เห็นว่า “วันนี้ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องเงินสดในระบบหายไป บ้านถูกยึด รถถูกยึด พ่อค้าแม่ขายย่ำแย่ ขายของไม่ออก ทำให้ความเชื่อมั่นของรัฐบาลและนายกฯ ลดลงทุกวัน รวมถึงกระแสของพรรคเพื่อไทยที่ลดลงไป”
พร้อมเสนอแนะว่า “อยากให้นายกฯ แบ่งเวลาการลงพื้นที่มานั่งทำงานที่ทำเนียบ เรียกข้าราชการมารายงานความคืบหน้านโยบาย ไม่ใช่ตะบี้ตะบันลงพื้นที่โดยไม่เหลียวแลหลัง”
โดยแม้จะออกตัวว่า “ผมพูดมานี้ในฐานะคนในบ้าน แม้บางอย่างอาจระคายหู แต่อยากให้รู้ว่าความคิดเห็นของตนคือความเห็นของคนที่เป็นมิตร ไม่มีเจตนามุ่งร้ายแอบแฝง”
แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางสร้างความเข้าใจในทางที่นำเสนอให้ผู้คนที่แวดล้อมเป็นทีมงานของนายกฯ เศรษฐาได้แม้สักนิดเดียว
เมื่อดูจากที่เรียงหน้ากันออกมาตอบโต้ด้วยท่าทีทั้งร้อนแรง และพยายามใช้ความห่างเหินระหว่าง “วรชัย” กับ “นายกฯ” มาเป็นเหตุผล
ความน่าสนใจคือระหว่างความคิดของ “แกนนำเสื้อแดงคนสำคัญที่ยังมั่นคงกับพรรค” กับ “ทีมงานแวดล้อมนายกฯ” นั้นที่สุดแล้ว “ผู้บริหารเพื่อไทย” ควรจะฟังใคร
แน่นอนคำตอบควรจะต้องเป็นเหตุผลที่มีข้อมูลรองรับ
ซึ่งวิธีการที่ง่ายสุดคือขอข้อมูลจาก AI คำตอบจาก “gemini” คือ
ในผลสำรวจหัวข้อประชาชนรู้สึกเดือดร้อน “นิด้าโพล” ออกมาว่า ร้อยละ 83.1 จากค่าครองชีพที่สูงขึ้น, จาก “สวนดุสิตโพล” ร้อยละ 78.9 กังวลเรื่องค่าครองชีพ, ร้อยละ 72.5 จากโพลมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น
ในเรื่อง “อำนาจซื้อของประชาชน” ตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทย ประชาชนร้อยละ 42.2 อำนาจซื้อลดลง, สมาคมผู้บริโภคไทย บอกร้อยละ 65.2 ซื้อสินค้าและบริการลดลง, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ร้อยละ 59.3 ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
มาดูที่ “หนี้สิน” ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่า ประชาชนร้อยละ 75.3 กังวลเรื่องหนี้สิน, ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาชนบท พบว่า ประชาชนร้อยละ 54.6 เสี่ยงต่อการล้มละลาย
มาถึง “ความเครียด” สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย พบว่า ประชาชนร้อยละ 62.4 เครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ, สมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย พบว่า คนร้อยละ 57.6 มีปัญหาสุขภาพจิตจากปัญหาเศรษฐกิจ, สภาเด็กแห่งประเทศไทย พบว่า เด็กและเยาวชนร้อยละ 48.5 รู้สึกกังวลและเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ
ด้วยข้อมูลเหล่านี้ แม้จะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องยากที่ “ทีมงานที่ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี” จะยอมรับได้ เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อภาพความสำเร็จของรัฐบาล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อผล ต่อคะแนนนิยมทางการเมือง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ “เพื่อไทย” ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจำเป็นต้องฟื้นฟูขึ้นมาให้ได้
แต่ก็นั่นแหละ ระหว่างภาพกับความเป็นจริง โดยเฉพาะ “ความเป็นจริง” ที่ “คนในบ้าน” เสนออย่างเป็นรูปธรรมว่า “เงินสดในระบบหายไป บ้านถูกยึด รถถูกยึด พ่อค้าแม่ขายย่ำแย่ ขายของไม่ออก” อันเมื่อทบทวนจากผลการสำรวจของสำนักต่างๆ แล้ว
ย่อมช่วยได้ยาก หากจะเกิดคำถามว่า การ “ตะบี้ตะบันลงพื้นที่โดยไม่เหลียวแลหลัง” มาฟังอะไรที่นอกจากเสียงกองเชียร์บ้างเป็นเรื่องเหมาะควรหรือ
จะไม่ยอม “อ้ำอึ้ง” ในคำตอบกันบ้างเชียวหรือ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022