เหลือเวลาอีกแค่ราวๆ 2 สัปดาห์เท่านั้น สุดยอดการแข่งขันกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติอย่าง โอลิมปิกเกมส์ “ปารีส 2024” ก็จะเปิดฉากขึ้นแล้ว โดยนักกีฬาไทยคว้าสิทธิไปโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ทั้งหมด 51 คน จาก 48 อีเวนต์กีฬา
จุดที่น่าสนใจในโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ของทัพนักกีฬาไทย คือจาก 51 คนนั้น ปรากฏว่าเป็นนักกีฬาหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์มาก่อนเลยถึง 36 คน คิดเป็น 70.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นการแสดงให้เห็นว่านักกีฬาไทยมีการพัฒนารุ่นใหม่ขึ้นมาได้เป็นอย่างดี
ก่อนจะไปพูดถึงความหวังในครั้งนี้ ต้องขอย้อนไปดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิกเกมส์ก่อน
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์มาแล้ว 18 ครั้ง คว้ามาได้ทั้งหมด 10 ทอง 8 เงิน 17 ทองแดง รวม 35 เหรียญ เป็นอันดับที่ 57 ตลอดกาลเมื่อรวมกับทุกชาติ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาประเทศไทยได้เหรียญรางวัลจากแค่ 3 ชนิดกีฬาเท่านั้นคือ ยกน้ำหนัก-มวย และเทควันโด เท่านั้น
ฮีโร่เหรียญโอลิมปิกเกมส์คนแรกของประเทศไทย ก็คือ พเยาว์ พูนธรัตน์ ที่คว้าเหรียญทองแดงใน โอลิมปิกเกมส์ 1976 จากมวยสากลสมัครเล่น
จากนั้นไทยต้องรอถึง 20 ปี จึงจะมีนักกีฬาคนแรกที่สามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ได้ นั่นก็คือ “โม้อมตะ” สมรักษ์ คำสิงห์ ที่คว้าเหรียญทองจากมวยสากลสมัครเล่น รุ่นเฟเธอร์เวต (57 ก.ก.) ที่แอตแลนตาเกมส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
จากนั้นมาทัพนักกีฬาไทยก็ประสบความสำเร็จในโอลิมปิกเกมส์อย่างต่อเนื่อง
ใน 4 ปีต่อมา โอลิมปิกเกมส์ 2000 ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ได้เหรียญทองจาก วิจารณ์ พลฤทธิ์ ในมวยสากลสมัครเล่น รุ่น 51 ก.ก.
ก่อนที่ในโอลิมปิกเกมส์ 2004 ที่ประเทศกรีซ กีฬายกน้ำหนักจะประเดิมทองแรกได้จาก “อร” อุดมพร พลศักดิ์ ต่อด้วย “ไก่” ปวีณา ทองสุก ขณะที่มวยสากลสมัครเล่น ยังรักษามาตรฐาน 1 ทองจาก “เติ้ล” มนัส บุญจำนงค์ นอกจากนี้ ยังมีกีฬาใหม่ที่คว้าเหรียญรางวัลเป็นครั้งแรก ก็คือ “วิว” เยาวภา บุรพลชัย ที่คว้าทองแดงจากการแข่งขันเทควันโดได้
ทำให้นี่เป็นโอลิมปิกเกมส์ที่ไทยประสบความสำเร็จมากที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะได้ถึง 3 ทอง 1 เงิน 4 ทองแดงเลยทีเดียว
อีก 4 ปีต่อมา “ปักกิ่งเกมส์” ที่ประเทศจีน ไทยคว้ามาได้อีก 2 ทองจาก สมจิตร จงจอหอ ในกีฬามวยสากลสมัครเล่น และ “เก๋” ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล ขณะเดียวกันก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับนักกีฬาไทย ก็คือ มนัส บุญจำนงค์ ที่เป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่คว้าเหรียญรางวัลได้จาก 2 โอลิมปิกเกมส์ หลังคว้าเหรียญเงินได้
แต่อีก 4 ปีต่อมา ใน โอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นปีที่ทัพนักกีฬาไทยพลาดเหรียญทองเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ครั้งหลัง โดยทำได้ดีที่สุด 2 เงิน 2 ทองแดงเท่านั้น
จนกระทั่งใน โอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่นครรีโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล ทัพนักกีฬาไทยก็กลับมาคว้าเหรียญทองได้อีกครั้งจากยกน้ำหนักถึง 2 ทอง จาก “แนน” โสภิตา ธนสาร และ “ฝ้าย” สุกัญญา ศรีสุราช
นอกจากนี้ ยังมีนักเทควันโดชาย กับนักยกน้ำหนักชาย ที่คว้าเหรียญรางวัลเป็นครั้งแรกเช่นกัน จาก “เทม” เทวินทร์ หาญปราบ เหรียญเงินเทควันโด และ “ดุ่ย” สินธุ์เพชร กรวยทอง เหรียญทองแดงยกน้ำหนัก
ขณะที่จากความผิดหวังที่รีโอ เด จาเนโร ของ “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ที่คว้าได้แค่เหรียญทองแดง เจ้าตัวกลับมาเอาคืนและสร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญทองให้กับกีฬาเทควันโด เป็นครั้งแรก ใน โอลิมปิกเกมส์ 2020 (แข่งขันในปี 2021) ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ขณะที่ยังได้อีก 1 เหรียญทองแดงจาก สุดาพร สีสอนดี ซึ่งนับเป็นนักชกสาวไทยคนแรกที่คว้าเหรียญรางวัลในโอลิมปิกเกมส์ได้
มาจนถึงโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ ที่ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จากการสำรวจความคาดหวังของทัพนักกีฬาไทย ในงานแถลงข่าว มีทเดอะเพรส ที่จัดโดยสมาคมนักข่าวช่างภาพกีฬาแห่งประเทศไทย ไม่มีใครกล้าพูดว่าจะไปถึงเหรียญทอง
ส่วนใหญ่ตั้งเป้าที่มีเหรียญรางวัลกลับมาทั้ง 3 กีฬาที่เคยทำเหรียญมาได้แล้วอย่าง มวยสากล, ยกน้ำหนัก หรือเทควันโด
อย่างไรก็ตาม ในการสำรวจความคาดหวังของนักกีฬาไทยในช่วงเก็บตัวฝึกซ้อม จาก การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ปรากฏว่ามีการตั้งความหวังเอาไว้สูงถึง 6 เหรียญทองด้วยกัน โดย 6 เหรียญทองที่ตั้งเป้าเอาไว้ มาจาก ยกน้ำหนัก 1 ทอง, เทควันโด 1 ทอง, มวยสากล 2 ทอง, แบดมินตัน 1 ทอง และกอล์ฟ 1 ทอง
ว่ากันด้วยภาพความเป็นจริงแล้ว โอกาสที่ทัพนักกีฬาไทยจะคว้าได้ถึง 6 เหรียญทองในโอลิมปิกเกมส์ครั้งเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
เพราะประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ได้มากที่สุดก็คือโอลิมปิกเกมส์ 2004 ที่ประเทศกรีซ ได้มา 3 เหรียญทอง
แน่นอนว่าความหวังสูงสุดของไทย อยู่ที่ “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ที่ลุ้นสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่คว้าเหรียญรางวัลได้ 3 โอลิมปิกเกมส์ติดต่อกัน และมีโอกาสเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่ป้องกันแชมป์โอลิมปิกเกมส์ได้ด้วย
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ด้วยสภาพร่างกาย, ความกดดัน หรือแม้กระทั่งกติกาที่เปลี่ยนไป ทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
มวยสากลครั้งนี้ไทยคว้าโควต้าได้ถึง 8 คน ก็ถือว่ามีโอกาสไม่น้อย เพราะในบางรุ่นมีนักกีฬาเพียงแค่ 16 คน เท่ากับว่ามีโอกาสที่ขึ้นชก 2 ครั้งจะการันตีทองแดงเป็นอย่างน้อย
ซึ่งความหวังสูงสุดของไทย อยู่ที่ “เหลิม” ธิติสรรค์ ปั้นโหมด ที่เพิ่งคว้าเหรียญเงินใน เอเชี่ยนเกมส์ ที่ประเทศจีนมาได้
ขณะที่ยกน้ำหนัก หนนี้ที่น่าลุ้นที่สุดอาจจะเป็น “เวฟ” วีระพล วิชุมา ที่เคยคว้าแชมป์โลกมาได้ และยังได้เหรียญเงินในเอเชี่ยนเกมส์ ที่ประเทศจีนมา
ส่วนกีฬาอื่นๆ อาจจะได้ลุ้นจาก “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ แชมป์โลกแบดมินตันชายเดี่ยวของไทย หรือ “จีน” อาฒยา ฐิติกุล – “เหมียว” ปภังกร ธวัชธนกิจ จากกีฬากอล์ฟ ที่สามารถหวังเล็กๆ ได้ แต่นอกเหนือจากนี้ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเซอร์ไพรส์ขึ้นมามีเหรียญรางวัลได้
ฉะนั้น ความหวัง 6 ทองของทัพนักกีฬาไทย อาจจะดูเป็นเรื่องเพ้อฝันไปสักหน่อย เพราะดูเป็นการประเมินเป้าหมายโดยไม่คำนึงถึงโอกาสที่จะเป็นไปได้จริงๆ อีกทั้งไปเพิ่มความกดดันให้นักกีฬา จนสุดท้ายกลับมามันจะกลายเป็นว่าทัพไทยทำผลงานได้ต่ำกว่าเป้าหมาย
มันจะกลายเป็นการบั่นทอนไปสู่ครั้งต่อไปมากกว่านะขอรับ •
เขย่าสนาม | Stivie Toon
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022
