

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ
ทศพิธราชธรรมจตุรพากย์
ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษาหกรอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคราวนี้ แน่นอนว่าจะต้องมีการจัดทำหนังสือที่ระลึกหรือหนังสือเฉลิมพระเกียรติขึ้นหลายเล่ม โดยหน่วยงานหรือสถาบันต่างๆ
และเป็นปกติธรรมดาไปเสียแล้วว่า ผมจะได้มีโอกาสเกี่ยวข้องกับหนังสือเหล่านั้นบางเล่ม โทษฐานที่เป็นคอหนังสือทำนองนี้มานาน ทั้งได้อ่านมามาก ทั้งได้ช่วยเขาทำมาในอดีตก็หลายเล่ม
งานที่เป็นของถูกอัธยาศัยอย่างนี้ ไม่มีเสียล่ะที่ผมจะปฏิเสธ
องค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐรูปแบบหนึ่งที่ผมคุ้นเคยและอยู่ในแวดวงทำงานด้วยกันมาช้านาน ชื่อว่า สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ดำริจะจัดทำหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งในโอกาสสำคัญคราวนี้
ให้ชื่อหนังสือในเบื้องต้นว่า “ทศพิธราชธรรม”
ด้วยคำอธิบายอันเป็นเหตุเป็นผลและพูดกันมาแต่ครั้งโบราณกาลแล้วว่า ทศพิธราชธรรมซึ่งเป็นธรรมะสำหรับผู้ปกครองแผ่นดินนี้ ไม่เฉพาะแต่พระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น
แม้ผู้ที่เป็นข้าราชการหรือคนที่เป็นผู้ใช้อำนาจในการปกครองใครก็ตาม ก็ควรมีธรรมะทั้ง 10 ข้อนี้อยู่ในใจด้วยกันทั้งสิ้น
หนังสือทศพิธราชธรรมเล่มนี้ ภาคแรกจึงขึ้นต้นด้วยการเชิญพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จากตอนท้ายของหนังสือเรื่อง พระนลคำหลวง อันเป็นพระราชนิพนธ์ว่าด้วยเรื่องทศพิธราชธรรม ที่พระราชนิพนธ์ไว้เป็นวสันตดิลกฉันท์ มีความไพเราะงดงามยิ่งทั้งเนื้อหาสาระและฉันทลักษณ์
จากนั้นผมได้เชิญพระราชนิพนธ์ข้างต้นมาถอดความออกเป็นร้อยแก้วภาษาไทย แล้วมีพระเถระผู้ทรงคุณความรู้อีกสี่รูป ช่วยกันแต่งเนื้อความเดียวกันเป็นปัฐยาวัตฉันท์ภาษาบาลี
ปิดท้ายส่วนนี้โดยมีทีมงานแปลสาระตรงกันนั้นออกเป็นภาษาอังกฤษไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
รวมเป็นทศพิธราชธรรมสี่สำนวน เรียกว่าทศพิธราชธรรมจตุรพากย์
ยังไม่จบครับ หนังสือเล่มนี้ยังมีภาคสอง เป็นการประมวลพระธรรมเทศนากัณฑ์พิเศษสามกัณฑ์ มีสาระว่าด้วยทศพิธราชธรรมและธรรมะข้ออื่นสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน ที่พระมหาเถระสำคัญสามองค์ ได้แก่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ และสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในปัจจุบัน ได้ถวายในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่หก รัชกาลที่เก้า และรัชกาลปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม
ขนาดว่าผมเป็นผู้ที่รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ยังอดตื่นเต้นไม่ได้เลยครับที่จะได้เห็นหนังสือออกมาสำเร็จรูปเป็นหนังสือที่จะได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายและเผยแพร่ในเร็ววันนี้
ในระหว่างที่ทำงานเรื่องนี้นั่นเอง ทำให้ผมมีเรื่องที่ฉุกคิดขึ้นมาได้สองสามอย่าง
ข้อแรกเลยคือโดยค่าเฉลี่ยแล้ว สำหรับค่ามาตรฐานทั่วไป งานเขียนแบบร้อยแก้วเป็นการเล่าความอย่างตรงไปตรงมา ถ้าจะเปรียบกับงานเขียนที่เป็นร้อยกรอง ไม่ว่าจะเป็นโคลงฉันท์กาพย์กลอน หรือกวีนิพนธ์ในรูปแบบใดก็แล้วแต่ งานเขียนร้อยกรองสามารถสร้างอารมณ์ที่อ่อนไหว ตลอดไปจนถึงอารมณ์เศร้า อารมณ์รัก หรืออารมณ์ฮึกเหิมได้มากกว่างานเขียนแบบร้อยแก้ว
ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของงานร้อยกรอง คือรูปแบบและคำที่ปรากฏอยู่ในงานร้อยกรอง เพียงคำเดียวหรือสองคำก็อาจสื่อความหมายไปได้กว้างไกล ชวนให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกคล้อยตามได้มากและได้ง่าย และผมอาจจะลำเอียงที่จะบอกต่อไปว่า ในทัศนะของผมแล้ว ร้อยกรองทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าร้อยแก้วครับ
ลองยกตัวอย่างร้อยกรองสักบทหนึ่งที่หลายท่านผู้เคยเรียนหนังสือร่วมสมัยกับผมน่าจะจำได้
เป็นบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จากเรื่องรามเกียรติ์ตอนนางลอย ลองยกมาให้อ่านสักบทหนึ่ง พระองค์ท่านพระราชนิพนธ์ไว้เป็นกาพย์ยานี 11 ดังนี้
ดาวเดือนก็เลื่อนลับ แสงทองระยับโพยมหน
จวบจวนพระสุริยน จะเยี่ยมยอดยุคนธร
เมื่อถอดความออกมาเป็นร้อยแก้ว น่าจะได้ใจความว่า ขณะนี้ดวงดาวและพระจันทร์ได้เคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิมจนจวนจะลับหายไป แลเห็นแสงทองระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า ใกล้เวลาที่พระอาทิตย์จะขึ้นไปอยู่เหนือยอดเขายุคนธรแล้ว
อ่านเปรียบเทียบกันแล้วรู้สึกใช่ไหมครับว่า มาคนละแนว คนละอารมณ์เลยทีเดียว บทพระราชนิพนธ์ที่เป็นกาพย์ยานีใช้จำนวนคำน้อยกว่าการถอดความร้อยแก้วตั้งมากมาย แต่สามารถให้อารมณ์ได้พริ้งพรายสมศักดิ์ศรีเป็นอย่างยิ่ง สัมผัสนอกสัมผัสในแพรวพราวเลยทีเดียว แค่เก็บคำว่า ดาวเดือน จวบจวน เยี่ยมยอด มาประชุมรวมกันได้ในกาพย์บทเดียว และเดินกระแสความได้โดยสะดุด เพียงนี้ก็สุดยอดแล้ว
โดยนัยนี้ ภาษาร้อยกรองของกวีจึงมีพลังอำนาจมาก ผู้คนสมัยก่อนเวลาส่งจดหมายรักจีบกัน เขาจึงนิยมเขียนเป็นกลอนเพลงยาว เพราะอ่านแล้วชวนให้เคลิบเคลิ้มได้ง่าย อ่านยังไม่ทันจบก็หลงรักเสียแล้ว ส่วนการเขียนร้อยแก้วอธิบายความรักที่มีอยู่ในใจ ชะดีชะร้าย ผู้รับจดหมายรักอาจจะนึกว่ากำลังอ่านเรียงความหรือวิทยานิพนธ์อยู่ก็เป็นได้
แต่เรื่องสำคัญข้อถัดมาคือ มาถึงทุกวันนี้ เป็นด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม แม้ไม่มีงานวิจัยสนับสนุน แต่ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าความรู้ภาษาไทยของคนไทยที่เดินตามผมมาในรุ่นถัดลงไป ลดน้อยลงกว่าความรู้ภาษาไทยของคนรุ่นผมมาก
ยังไม่ต้องพูดถึงภาษาเขียนเลยครับ เอาแค่อ่านให้ออก อ่านให้คล่อง ก็ทำกันไม่ได้เสียแล้ว
ในการประชุมคณะกรรมการชุดหนึ่ง ที่ผมร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย ฝ่ายเลขานุการซึ่งเป็นคนรุ่นลูกหรือรุ่นหลานต้องอ่านเอกสารเก่าที่เป็นจดหมายโต้ตอบในสมัยรัชกาลที่เจ็ดหรือรัชกาลที่แปด ผมสังเกตได้ทีเดียวว่า ผู้อ่านอ่านไม่แม่น บางครั้งก็อ่านกระโดดข้ามไป หรืออ่านเป็นอีกคำหนึ่ง ที่มีความหมายแตกต่างกัน และเจ้าตัวก็ไม่รู้สึกตัวเสียด้วยว่าอ่านไม่ตรงกับต้นฉบับไปแล้ว
ตัวอย่างเช่น ต้นฉบับเขียนคำว่า “เผยแผ่” แต่ผู้อ่านอ่านว่า “เผยแพร่”
เผยแผ่ นั้นแปลว่าทำให้ขยายออกไป เช่น เผยแผ่พระศาสนา ขณะที่ เผยแพร่ แปลว่าโฆษณาให้แพร่หลาย เช่น เผยแพร่ความรู้ ฟังดูปวดศีรษะแล้วใช่ไหมครับ แต่ถ้าลองนึกตามที่ว่ามานี้แล้วท่านทั้งหลายก็คงจะนึกออกว่า เผยแผ่กับเผยแพร่นั้น ใช้ในความหมายที่แตกต่างกันจริงๆ
ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า มาถึงยุคสมัยนี้คนจำนวนไม่น้อยไม่เห็นความแตกต่างระหว่างคำสองคำนี้เสียแล้ว เพราะฉะนั้น แม้ต้นฉบับเขียนมาว่า เผยแผ่ แต่จะอ่านว่า เผยแพร่ เสียอย่างใครจะทำ ฮึ
เมื่อความรู้ในทางภาษาของคนเรียวลงเช่นนี้ ทำให้ผมเข้าใจได้ว่า ชิ้นงานร้อยกรองยุคใหม่ก็จะมีน้อยลงไปตามลำดับ เพราะร้อยกรองใช้อลังการของภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อความเข้าใจความรู้สึก แต่เวลานี้อลังการของภาษาเหลืออยู่สักกี่เปอร์เซ็นต์ผมก็ไม่แน่ใจนัก และอย่าหวังไปถึงร้อยกรองเลยครับ เอาแค่ร้อยแก้วให้รอดชีวิตเสียก่อนก็ถือว่าดีมากแล้ว
หมดยุคสมัยแล้วที่จะมาเขียนอะไรยืดยาว รู้สึกอย่างไรก็ไม่ต้องเขียน ใช้วิธีส่งสติ๊กเกอร์เอาก็แล้วกัน นี่ถ้าสุนทรภู่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ชีวิตท่านคงจะยากจนกว่าเดิมเป็นอันมาก เพราะไม่มีใครจ้างให้เขียนกลอนเสียแล้ว ขอแนะนำให้ท่านหัดเขียนการ์ตูนนะครับ
จะได้ขายสติ๊กเกอร์ LINE ให้ร่ำรวยกับเขาบ้าง เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามครับ ท่านสุนทรภู่
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022