

มรณกรรมของ อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ที่เกิดขึ้นหนึ่งปีหลังการจากไปของ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นสัญญาณว่าสังคมไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการผลัดใบของ “ปัญญาชนสาธารณะ” รุ่นซึ่งมีบทบาทอย่างสูงในการผลักดันความคิดใหม่ๆ, เปิดประเด็นสาธารณะใหม่ๆ, ตั้งคำถามใหม่ๆ และเสนอทางออกใหม่ๆ ให้สังคม
“ปัญญาชนสาธารณะ” ต่างจาก “อาจารย์มหาวิทยาลัย” หรือ “นักวิชาการ” เพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยและนักวิชาการเป็นเรื่องของ “อาชีพ” และ “สถานภาพการจ้างงาน”
ขณะที่ “ปัญญาชนสาธารณะ” เป็นเรื่องของ “บทบาท” ที่ต้องแสดงความเห็นเชิงวิพากษ์, ตั้งคำถาม, เสนอทางออกต่อประเด็นปัญหาในสังคม
ในแง่นี้ “ปัญญาชนสาธารณะ” จึงไม่จำเป็นต้องเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือนักวิชาการของหน่วยงานใด
ส่วน “อาจารย์” หรือ “นักวิชาการ” ที่มีบทบาท “ปัญญาชนสาธารณะ” ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความเห็นเฉพาะในสาขาวิชาที่เรียนหรือทำงานด้วย
เพราะแกนของเรื่องนี้คือบทบาทต่อปัญหาสาธารณะในสังคม
สังคมไทยช่วงที่อาจารย์นิธิและอาจารย์ชัยวัฒน์ทำงานคือสังคมที่เปลี่ยนจากเผด็จการทหารล่มสลายสมัย 14 ตุลาคม 2516, การปราบปรามประชาชนปี 2519, เผด็จการครึ่งใบยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทศวรรษ 2520, การเมืองแบบโหนสถาบันทศวรรษ 2540 และระบอบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยหลังทศวรรษ 2550 จนปัจจุบัน
ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่อาจถือว่าประเทศไทยช่วงนี้คือประเทศที่ดี แต่ในทางกลับกัน ประเทศแบบนี้อุดมด้วยปัญหาให้ “ปัญญาชนสาธารณะ” ใคร่ครวญมหาศาล
อาจารย์นิธิและอาจารย์ชัยวัฒน์จึงเป็นส่วนหนึ่งของปัญญาชนรุ่นนี้จำนวนมากที่ต่างคนต่างคิดเรื่องปัญหาประเทศจนเกิดคำตอบหลายอย่างที่สำคัญ
ด้วยเหตุดังนี้ งานเขียนปัญญาชนรุ่นนี้ตั้งแต่อาจารย์นิธิ, อาจารย์ชัยวัฒน์, อาจารย์สุลักษณ์ ศิวลักษณ์, อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, อาจารย์เกษียร เตชะพีระ, อาจารย์อัมมาร สยามวาลา ฯลฯ จึงครอบคลุมตั้งแต่ปัญหาประชาธิปไตย, ชาตินิยม, ความเหลื่อมล้ำทางสังคม, การกระจายรายได้, พุทธศาสนา รวมทั้งปัญหาอื่นทั้งที่อยู่และไม่อยู่ในสาขาที่เรียนมา
เมื่อปัญญาชนสาธารณะทำงานข้ามสาขาวิชา สังคมไทยจึงเกิด “บทสนทนาสาธารณะข้ามสาขา” ที่นักวิชาการและคนนอกวงวิชาการพูดถึงปัญหาสังคมกว้างขวางขึ้นไปหมด
ในที่สุดจึงเกิด “วาระทางสังคม” ที่เป็นประโยชน์ต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวม เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐหรือรัฐบาล
ยกตัวอย่างง่ายๆ กองเชียร์เพื่อไทยอาจไม่ชอบบทบาท TDRI ในปัจจุบัน แต่ TDRI ในทศวรรษ 2530 พูดถึงการกระจายรายได้, การลดความเหลื่อมล้ำ หรือระบบอุปถัมภ์ โดยเชิญคนอย่างอาจารย์นิธิหรืออาจารย์ชัยวัฒน์ไปแสดงความเห็นอย่างต่อเนื่องจนนักเศรษฐศาสตร์และหน่วยงานรัฐเข้าใจปัญหานี้กว่าที่ผ่านมา
บทบาทปัญญาชนสาธารณะทำให้สังคมไทยทศวรรษ 2540 เต็มไปด้วย “พลวัตของการปรับตัวทางนโยบาย” ที่มีผลจนวันนี้ ข้าราชการอย่าง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล หรือนายกฯ อย่างคุณอานันท์ ปันยารชุน, คุณทักษิณ ชินวัตร และคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ล้วนเติบโตในบรรยากาศนี้จนรัฐเริ่มพูดเรื่องกระจายรายได้, ลดความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ อย่างไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่รัฐพูดแต่เรื่องเรียวแคบอย่างแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโต สังคมไทยเวลานี้มีนโยบายสาธารณะที่วาระโดยรวมถอยหลังกว่ารัฐบาลทุกชุดในทศวรรษ 2540 ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะการผลักดันนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ, ปฏิรูปสังคม หรือกระจายรายได้ซึ่งไม่มีความชัดเจนเลย
คำถามที่น่าสนใจคือเมื่อสังคมไทยไม่มี “ปัญญาชนสาธารณะ” แบบที่เคยมีในรุ่นอาจารย์นิธิหรืออาจารย์ชัยวัฒน์ต่อไป บทสนทนาสาธารณะที่เคยเกิดข้ามสาขาวิชาอย่างมีพลังจะหดหายไปหรือไม่ เช่นเดียวกับการผลักดัน “วาระทางสังคม” เพื่อทำให้นโยบายรัฐเปลี่ยนไปในทิศทางที่ก้าวหน้ากว่าที่ผ่านมา
การแสดงความเห็นเรื่องส่วนรวมของนักวิชาการหรืออาจารย์มหาวิทยาลัยยังมีต่อไปแน่ แต่บทสนทนาสาธารณะข้ามสาขายังไม่แน่ว่าจะมีต่อไปด้วย การเคลื่อนไหวทางความคิดที่เห็นภาพรวมจึงมีโอกาสจะเรียวแคบขึ้น เช่นเดียวกับการผลักดัน “วาระทางสังคม” ใหญ่ๆ ซึ่งอาจมีน้อยลง หรือมีแต่ไม่มีผลอะไรเลย
แน่นอนว่าระบบราชการหรือพรรคการเมืองกำหนดนโยบายสาธารณะได้ แต่ในสังคมที่ระบบราชการรวมศูนย์ ส่วนพรรคการเมืองถูกทำให้อ่อนแอจนอยู่ใต้อิทธิพลนักการเมืองแนวต่อรองอำนาจ-ผลประโยชน์ โอกาสที่ระบบราชการและพรรคการเมืองจะผลักดันวาระทางสังคมที่ก้าวหน้าจึงยากเหลือเกิน
อาจารย์ชัยวัฒน์สอนปรัชญาการเมืองที่ธรรมศาสตร์ แต่บทบาทที่ทำให้สังคมไทยและสังคมโลกรู้จักอาจารย์คือบทบาท “ปัญญาชนสาธารณะ” ที่อาจารย์บุกเบิกพูดและวิจัยเรื่องสันติวิธี, ความรุนแรงและปฏิบัติการไร้ความรุนแรงในแทบทุกปริมณฑลจากการเมืองไปเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ปัญหามีอยู่นิดเดียว สิ่งที่อาจารย์ชัยวัฒน์พูดมาจักรวาลวิทยาอีกชุดซึ่งถึงมีเสียงก็อาจไม่ใช่ทุกคนจะได้ยิน เพราะเป็นจักรวาลวิทยาที่เชื่อว่าธรรมชาติมนุษย์นั้นดี พื้นฐานของมนุษย์นั้นไม่ฆ่าหรือทำร้ายชีวิต และปัญญากับศรัทธาเป็นสิ่งที่สามารถดำรงอยู่ควบคู่กัน
หนึ่งในอาจารย์ของอาจารย์ชัยวัฒน์คือ Glain D.Paige ที่บุกเบิกแนวคิดว่า “พื้นฐานของมนุษย์นั้นไม่ฆ่าและไม่ใช้ความรุนแรง”
ดังนั้น “สังคมที่ไม่ฆ่าและไม่ใช้ความรุนแรง” จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้แตกต่างจากรัฐและคนจำนวนมากที่เชื่อว่าธรรมชาติมนุษย์นั้นเลวจนต้องใช้ความรุนแรงควบคุม
ไม่ว่าจะเป็นนักคิดที่สำคัญต่อรัฐสมัยใหม่อย่างโธมัส ฮอบส์ ใน Leviathan, แมกซ์ เวเบอร์ ใน Politics a Vocation, มิแชล ฟูโกต์ ใน The Society Must Be Defended หรือกฎหมายตราสามดวงของไทย ทั้งหมดนี้เชื่อว่ามนุษย์ชั่ว เห็นแก่ตัว ปล่อยไว้ก็ฆ่ากันเอง
และทางออกเดียวคือต้องให้รัฐควบคุมโดยความรุนแรง
อาจารย์เกลนเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มสำคัญที่ถูกแปลทั่วโลกเรื่อง Global Nonkilling Political Science ซึ่งอาจารย์ชัยวัฒน์ชวนให้ผมแปลเป็นไทยโดยผมตั้งชื่อว่า “รัฐศาสตร์ไม่ฆ่า” ประเด็นของเกลนคือธรรมชาติมนุษย์นั้นไม่ฆ่า คำอธิบายของเกลนเริ่มง่ายๆ คือในชีวิตเราทุกคนแทบไม่เคยฆ่าหรือรู้จักใครที่ฆ่าใครเลย
เห็นได้ชัดว่าแนวคิดของเกลนสวนทางกับความเชื่อของเราโดยสิ้นเชิง แต่เกลนในหนังสือนี้มีคำอธิบายที่มีน้ำหนักว่าธรรมชาติมนุษย์นั้นดี คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อฆ่า และสังคมที่ไม่ใช้ความรุนแรงนั้นเป็นไปได้ และผมคิดว่าอาจารย์ชัยวัฒน์แชร์ความคิดเรื่องนี้กับอาจารย์เกลนจนเป็นรากฐานความคิดอาจารย์จริงๆ
ควรระบุว่าเกลนไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อถกเถียงทางปัญญา แต่วัตถุประสงค์ของ “รัฐศาสตร์ไม่ฆ่า” คือการออกแบบรัฐบาลและสถาบันการเมืองที่ไม่ได้ควบคุมประชาชนด้วยการฆ่า รวมทั้งเสนอต่อไปว่าเป็นไปได้ที่สังคมที่จะไม่มีกองทัพเลยโดยยกตัวอย่างจากหลายประเทศเพื่อยืนยัน
ผมแปลหนังสือเล่มนี้ขณะเรียนที่ฮาวายอิ แต่เพราะหนังสือมาจากวิธีคิดอีกจักรวาล การแปลจึงช้าจนเหลือเชื่อ จนอาจารย์ชัยวัฒน์บอกผมว่าเกลนป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล อ.สุชาติ เศรษฐมาลินี ซึ่งตอนนี้เป็นกรรมการสิทธิฯ ขับรถพาผมไปเยี่ยม อาจารย์เกลนบนเตียงคนไข้ถามผมว่าแปลถึงไหนแล้ว การแปลจึงเดินหน้ารวดเร็ว
ขณะที่อาจารย์ชัยวัฒน์สอนปรัชญาการเมือง อาจารย์เกลนกลับมาจากสายบริหารรัฐกิจซึ่งสนใจปรัชญาการเมืองน้อยมาก
ผมคิดว่าจุดเชื่อมที่ทำให้อาจารย์ชัยวัฒน์และอาจารย์เกลนเชื่อเรื่องธรรมชาติมนุษย์นั้นดีและไม่ฆ่ามาจากศรัทธาในมนุษย์อย่างแรงกล้าแบบที่แทบไม่เห็นใครเขียนหรือพูดแบบนี้เลย
ผมไม่แน่ใจว่าทั้งอาจารย์ชัยวัฒน์และอาจารย์เกลนมีศรัทธาต่อมนุษย์ขนาดนี้ได้อย่างไร แต่ในทางกลับกัน ก็คงต้องตั้งคำถามว่าหรือสังคมร่วมสมัยต่างหากที่สูญเสียศรัทธาต่อมนุษย์ไปหมด ซึ่งแปลว่าทั้งอาจารย์ชัยวัฒน์และอาจารย์เกลนถูก แต่เราต่างหากที่อยู่ในโลกที่ถูกหล่อหลอมว่ามนุษย์นั้นชั่วและเลวร้ายเกินไป
นอกจากอาจารย์ชัยวัฒน์แล้ว อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ก็เป็นอีกคนที่มักพูดถึงงานของอาจารย์เกลนด้วยเช่นเดียวกัน
มรดกทางปัญญาที่อาจารย์ชัยวัฒน์ให้กับสังคมคือสังคมมีทางเลือกที่ไร้ความรุนแรง แต่มรดกที่เป็นทรัพย์หมดได้ฉันใด มรดกทางปัญญาก็ทั้งเติบโตและหมดลงได้ฉันนั้น สังคมไทยจะมีเครื่องรับสัญญาณสู่การเมืองที่ไม่ฆ่าและสังคมที่ไร้ความรุนแรงขนาดไหนจึงเป็นคำตอบที่ไม่มีทางรู้ได้เลย
หวังว่าการจากไปของคนรุ่นอาจารย์ชัยวัฒน์และอาจารย์นิธิจะไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของ “ปัญญาชนสาธารณะ” ที่ทำหน้าที่ตั้งคำถามและเสนอคำตอบใหม่ๆ ให้สังคมโดยทะลุทะลวงข้อจำกัดต่างๆ เพื่อผลักดันวาระใหม่ๆ ที่ก้าวหน้าสู่สังคม
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต


