เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

@ยูเอสเอ ทรัมป์ แต้มพุ่ง @ไทยแลนด์ ทักษิณ ซ.ต.พ. (ซึ่งต้องพิสูจน์)

19.07.2024

มือปืนวัยรุ่นอายุ 20 ปี แอบขึ้นหลังคาอาคารแล้วลั่นไกใส่โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะกำลังยืนปราศรัยหาเสียง กลายเป็นข่าวช็อกโลกในทันที

โชคดีที่โดนัล ทรัมป์ หันไปอ่านตัวเลขผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่กำลังโชว์ข้อมูลผ่านจอขนาดใหญ่ ทำให้กระสุนปลิวผ่านหูไปเพียงนิดเดียว บาดเจ็บเล็กน้อย

มือปืนวัยรุ่นถูกทีมสไนเปอร์สวนกลับเสียชีวิตทันควัน

ส่วนทรัมป์ในวินาทีที่ถูกยิง เจ้าตัวก็สวมวิญญาณคนไม่รู้กลัว ลุกขึ้นมาชูกำปั้น แม้หน่วยคุ้มกันจะห้อมล้อมตัวไว้อย่างหนาแน่น จนปรากฏเป็นภาพข่าวดังไปทั่วโลก

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่นาน หลังเพิ่งมีการดีเบตคู่ชิงประธานาธิบดีครั้งแรก ที่ทำให้โจ ไบเดน คะแนนนิยมตกฮวบ โดนัลด์ ทรัมป์ ฟอร์มจัดขยี้ปมตอบโต้ได้ทุกดอก โดนใจชาวอเมริกันผู้รักชาติ

ยิ่งมาเจอการถูกลอบยิงเช่นนี้ กระแสเห็นอกเห็นใจทรัมป์ยิ่งพุ่งสูง

ไม่กี่วันถัดมาก็ไปขึ้นเวทีหาเสียงต่อ แสดงออกถึงความ “ไม่กลัว” ยิ่งเป็นที่ชอบอกชอบใจของชาวอเมริกัน

นักวิเคราะห์การเมืองทั่วโลก กระทั่งสื่อในสหรัฐแทบจะเห็นตรงกันว่า ปลายปีนี้สหรัฐได้ประธานาธิบดีชื่อ โดนัล ทรัมป์ แน่นอน

ในมุมหนึ่ง การเมืองอเมริกาวันนี้ก็สะท้อนปัญหาเรื่องความ “สุดโต่ง” พื้นที่การต่อสู้ทางความคิด ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างหนัก ซึ่งก็ต้องถอดบทเรียนกันหลายฝ่ายโดยเฉพาะสื่อมวลชน ในแง่นี้ก็ต้องชื่นชม โจ ไบเดน ที่ยังพอมีสปิริต ดึงสติผู้คน ออกมาประณามการกระทำดังกล่าว และเรียกร้องพลเมืองอเมริกันว่าต้องไม่ยอมรับการใช้ความรุนแรงในประเทศเด็ดขาด

 

ตัดภาพกลับมาที่ประเทศไทย ก็ยังอยู่ในสมรภูมิทางการเมือง ที่แม้จะไม่ดุเดือดเท่าสหรัฐ แต่ก็อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ

พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำฝ่ายรัฐบาล ก็กำลังประสบกับปัญหาระดับ “วิกฤต”

1. คือต้องกอบกู้ศรัทธาทางการเมืองที่ลดต่ำลงมากจากการข้ามขั้วตั้งรัฐบาล

2. ต้องบริหารประเทศท่ามกลางวิกฤตปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ภูมิรัฐศาสตร์โลก ที่ต่างเป็นปัจจัยลบ แทบไม่มีปัจจัยเอื้อหนุน

3. ต้องต่อสู้กับสมรภูมิข่าวสารที่เดือดดาลไม่แพ้สมรภูมิอื่น

4. ต้องประคองรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลให้ไปรอด แม้จะกระทบกระทั่งกันไม่น้อย

5. ต้องรักษาระบอบการเมืองให้เดินหน้าต่อ เพื่อไม่ให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง แบบที่เคยถูกกระทำ

หลังตัดสินใจยอมแลก “ศรัทธาทางการเมือง” กับ “เก้าอี้ผู้นำ” ด้วยมั่นใจว่าจะสามารถสวมวิญญาณไทยรักไทย โชว์ “ฝีมือเศรษฐกิจ” ตีคะแนนกลับคืน

ขณะนี้รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน ก็ได้บริหารประเทศมาจนเกือบครบ 1 ปีแล้ว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือประชาชนจำนวนมากยังจับต้องไม่ได้กับผลงานเชิงรูปธรรม หรือแม้จะมีผลงานออกมา แต่ก็ยังไม่สามารถสะท้อนประสิทธิภาพการแก้ปัญหาได้อย่างดีพอ หรือตรงใจ

ดูผลการสำรวจจากโพลของมหาวิทยาลัยหลายสำนักช่วงเดือนที่ผ่านมาก็จะเห็น แม้แต่โพลของสำนักงานวิชาการของหน่วยงานรัฐอย่างสถาบันพระปกเกล้าฯ ก็ยังยืนยันในประเด็นนี้ ว่าคะแนนนิยมของรัฐบาลพ่ายแพ้-ตกต่ำ

 

ถ้าพูดกันอย่างเป็นธรรม ก็ต้องยอมรับว่า ตลอดเกือบปีที่ผ่านมาของรัฐบาลเพื่อไทย เต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวางการบริหารราชการแผ่นดิน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปฏิบัติตามนโยบายไม่เป็นไปตามเป้าหมายก็คือ “การไม่มีอำนาจเต็มที่”

ไม่นับกลไกระเบียบราชการ ตัวบทกฎหมายจำนวนมากที่ถูกออกแบบมาในสมัยรัฐบาล คสช.เพื่อสกัดและตีกรอบ “นักการเมืองระบบเลือกตั้ง” ล้วนเป็นอุปสรรคปัญหาสำคัญ

จะขยับไปทางไหนก็ติดกรอบไปเสียหมด

หากเปรียบเป็นรถยนต์ รัฐบาลเพื่อไทยก็กำลังขับ “รถยนต์คันเก่า” ที่ชำรุดทรุดโทรมตามเวลา

เมื่อรถยนต์ไม่ค่อยพร้อม แม้เปลี่ยนผู้ขับใหม่ ท้ายที่สุดประสิทธิภาพก็เท่าเดิม ยิ่งนานวันยิ่งชำรุด ขับไปซ่อมไป จะไปแข่งกับคนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง

นโยบายที่หาเสียงไว้แต่ต้องใช้ทรัพยากรมาก วันนี้ก็ขยับจากไทม์ไลน์ช้ามาก ไม่ว่าจะเป็น ดิจิทัลวอลเล็ต การลงทุนทางโครงสร้างใดๆ สวนทางกับปัญหาประชาชน ที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด ทั้งค่าไฟ ค่าน้ำมัน

1 ปี ผลงานรูปธรรมของรัฐบาลเพื่อไทยวันนี้ จึงจำกัดอยู่ในนโยบายที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรมาก

เช่น เรื่องแก้หนี้สิน ที่ทำได้เพียงเรียกเจ้าหนี้มาเจรจา บรรเทาปัญหาเล็กน้อย ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างของการแก้หนี้ ได้เพียงแค่ถูกพูดถึง แต่ยังไม่เห็นผล ไม่ว่าชนชั้นไหน ส่วนใหญ่ก็ยังจมอยู่กับกองหนี้ ยังไม่เห็นอนาคตที่ดีขึ้น

ขณะที่ปัญหายาเสพติด แม้มีคำสั่งขึงขังออกมาตลอด แต่ที่ชาวบ้านยังประสบพบเจอกับตัวคือ ยาเสพติดยังราคาถูกอยู่ มีข่าวอาชญากรรมจากเสพยาไม่เว้นแต่ละวัน

โดยสรุป แม้จะมีความตั้งใจดี เหยียบคันเร่งลงสุดแรง แต่ผลลัพที่ได้คือกำลังเครื่องยนต์ก็เท่าเดิม

 

บริบทวันนี้เปลี่ยนไป ยิ่งเป็นรัฐบาลพรรคร่วม ไม่ได้เสียงข้างมากแบบเดิม กระทรวงใหญ่ๆ ก็ไปอยู่กับคนอื่น ก็ลืมสิ่งที่ไทยรักไทยอดีตเคยทำได้เลย

แน่นอนว่าทักษิณ ชินวัตร เข้าใจปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับเพื่อไทยขณะนี้ได้ไม่ยาก เป็นไปไม่เลยที่เขาจะอยู่เฉย นั่งมองพรรคที่ตัวเองปลุกปั้นมากับมือเดินหน้าเข้าสู่ “วิกฤต” โดยไม่ช่วยเหลืออะไร

อาการ “ไม่อยู่เฉย” เดินสายทั่วไทย ท่ามกลางข้อครหานักโทษวีไอพีจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

ถามว่าทักษิณรู้หรือไม่ว่าการ “ขยับทางการเมือง” ของตนเอง จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนายเศรษฐา ทวีสิน โดยตรง

เพราะไม่ว่าราชการหรือนักการเมือง บ้านใหญ่-เล็ก ก็จะเกิดอาการสับสน ตกลงศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่ไหนกันแน่ “ทำเนียบรัฐบาล” หรือ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” เมื่อมีข้อเรียกร้องปัญหาต่างๆ ก็ต้องวิเคราะห์ก่อนว่าต้องไปหาใคร

คำตอบคือนายทักษิณก็รู้ แต่เพราะ “จำเป็น”

การไป จ.สุรินทร์-อีสานใต้ ล่าสุด พร้อมกับคำประกาศ “สิงหาคมนี้รัฐบาลเพื่อไทยจะมีผลงานให้เห็น” คือรูปธรรมของการขยับทางการเมือง “สไตล์ทักษิณ”

เป็นการขยับที่สอดรับกับข่าวการออก “ใบบริสุทธิ์” ของกรมราชทัณฑ์ซึ่งจะมีผลทำให้นายทักษิณกลายเป็นประชาชนปกติแบบ 100% พ้นโทษตามกฎหมายในเดือนสิงหาคมนี้

นั่นยิ่งสะท้อนว่า “การขยับทางการเมือง” ของนายทักษิณจากนี้จะเดินไปในลักษณะ “เปิดหน้า” มากขึ้น อย่างแน่นอน

 

แต่ก่อนจะขยับไปดูปัญหาประเทศ ก็ต้องกวาดบ้านกับปัญหาเฉพาะหน้าก่อน

วันนี้ต้องยอมรับว่าปัญหาภายในพรรคเพื่อไทยเองมีไม่น้อย

เอาแค่ที่ปรากฏมาบนผิวน้ำ อย่างกรณีนายวรชัย เหมะ ที่ปรึกษาฝ่ายการเมืองของรองนายกรัฐมนตรี วิวาทะกับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ก็สะท้อนว่า เพื่อไทยมีปัญหาเอกภาพภายใน

หรือล่าสุดกรณีการลาออกของนายวัน อยู่บำรุง ผู้ช่วย รมว.สธ. และการท้าให้ขับออกของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็เช่นกัน สะท้อนความบอบบางอย่างสูงในการเมืองระดับนำของพรรค

ไม่นับปัญหาที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้อย่าง นโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง-การประมูลข้าวที่ดูไม่ราบรื่นแบบที่โฆษณา-หรือกรณีการส่งนายชาญ พวงเพ็ชร์ ชิงเก้าอี้นายก อบจ.ปทุมฯ ทั้งที่ติดพันปัญหาการถูกชี้มูลคดีทุจริตจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ประกาศผล ล้วนกระทบความเชื่อมั่นพรรคเพื่อไทยและนายทักษิณตรงๆ

ยังต้องเจอกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย ที่วันนี้ในมิติการเมือง ถือไพ่เหนือกว่าเพื่อไทยอย่างเห็นได้ชัด การจะเขี่ยออกหรือต่อรองอะไรมาก ก็ทำไม่ได้ จำต้องยอมกลืนเลือดไปก่อน

แค่งานกินเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาลสัปดาห์ที่ผ่านมาก็หัวจะปวด พรรคพลังประชารัฐเป็นเจ้าภาพแท้ๆ แต่ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่างไม่มาร่วมโต๊ะ สะท้อนพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่ได้เข้มแข็ง มีปัญหาอยู่

ไม่รู้สิงหาคมนี้คนจะได้เห็นผลงานรูปธรรมอะไรของรัฐบาล แต่ที่แน่ๆ นับแต่สิงหาคมนี้เป็นต้นไป นายทักษิณในฐานะศูนย์กลางอำนาจที่แท้จริงของรัฐบาลนี้ คงอยู่ในภาวะ “ซ.ต.พ.” หรือซึ่งต้องพิสูจน์ตัวเองอีกเยอะเลยทีเดียว!

 



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ไม่เกี่ยวกับ ‘ฮุน เซน’
ในระบอบป่วยติดเตียง รัฐบาลเป็ดง่อย
ใช่-ไม่ใช่
จับตา อุดมศึกษาไทย ในสภาวะ ‘กลืนไม่เข้าคายไม่ออก’ เมื่อการเมืองรุกล้ำพื้นที่พัฒนาประเทศ
Ryan Gander นักท้าทายผู้ชมให้คลี่คลายปริศนาซับซ้อนทางศิลปะ
ผู้ว่าแบงก์ชาติ (คนใน)
คุยกับทูต | โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ครบรอบ 249 ปี วันประกาศอิสรภาพสหรัฐ (จบ)
จีนหนุนสยาม ยึดอยุธยาเพื่อจีน
อาณาเขตของความอร่อย
ข้าชื่อซารุโทบิ : โลกสองใบที่ไม่มีวันบรรจบ
บวชนาค พิธีกรรมสัญลักษณ์ เปลี่ยนผ่าน คนพื้นเมือง ให้เป็นอารยชน
ลืมจำ…ลืมจริง?