เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

สัญลักษณ์ความเป็น ‘จักรพรรดิราช’ ของรัชกาลที่ 3 บนยอดพระปรางค์วัดอรุณฯ

24.09.2024

โดยปกติแล้ว ที่บนส่วนยอดสุดของ “พระปรางค์” จะประดับเอาไว้ด้วยเครื่องโลหะ ที่มีรูปร่างเป็นหลาว หรือหอก ที่มีกิ่งแตกออกไปหลายทิศ พุ่งแทงขึ้นไปบนฟ้า

เครื่องโลหะที่ว่านี้ บ้างก็เรียกกันว่า “นภศูล” แต่บางท่านก็เรียก “นพศูล” (นอกจากนี้ ยังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีกด้วย ได้แก่ แง่งขิง, ฝักเพกา, ลำภุขัน และสลัดได แต่ไม่เป็นคำเรียกที่รู้จักกันในวงกว้างนัก จึงไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียดในที่นี้)

ที่เรียก “นภศูล” นั้น หมายถึง “ศูล” คือ “หลาว” ที่แทงขึ้นไปบนฟ้าคือ “นภา”

ส่วนที่เรียก “นพศูล” เป็นเพราะมักจะเชื่อกันว่า เครื่องประดับยอดปรางค์ที่ว่านี้แตกกิ่งออกเป็น 9 กิ่ง จึงเรียกว่า นพศูล ที่แปลว่า หลาว หรือหอก 9 กิ่งนั่นเอง

ผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่า คำอธิบายใดควรจะถูกต้องมากกว่าหรอกนะครับ รู้ก็แต่ว่ามีอยู่หลายครั้งเลยทีเดียวที่เจ้าเครื่องประดับยอดพระปรางค์ที่ว่านี้ ไม่ได้มีจำนวนกิ่งนับได้เท่ากับ 9 กิ่ง ดังนั้น ผมจึงสะดวกใจที่จะเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า “นภศูล” มากกว่า

อย่างไรก็ตาม ที่มาของชื่อเครื่องประดับยอดพระปรางค์ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่หลักใหญ่ใจความของเรื่องที่ผมอยากชวนคุยในที่นี้ แต่เป็นเรื่องของกรณีเฉพาะ อย่างที่ส่วนยอดของพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ซึ่งมี “มงกุฎ” ครอบทับอยู่บนนภศูลเอาไว้อีกชั้นหนึ่งต่างหาก

มีประวัติเล่าว่า แต่เดิมมงกุฎชิ้นที่ว่านี้ ประดับอยู่บนพระเศียรของ “พระพุทธมหาจักรพรรดิ” อันเป็นพระพุทธรูปประธาน ภายในพระอุโบสถ ของวัดนางนองวรวิหาร ในย่านบางขุนเทียน ต่อมาเมื่อพระปรางค์วัดอรุณฯ ถูกสร้างจนแล้วเสร็จ รัชกาลที่ 3 ก็โปรดให้นำเอามงกุฎของพระพุทธรูปองค์นี้มาประดับบนยอดของพระปรางค์ ที่ส่วนเหนือนภศูลอีกทอดหนึ่ง

น่าสนใจนะครับว่า ทั้งพระปรางค์วัดอรุณฯ และพระพุทธรูปประธานที่วัดนางนอง ซึ่งเป็นพระทรงเครื่องอย่างพระจักรพรรดิราชนั้น ต่างก็เป็นของที่รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างเป็นผู้ขึ้นเอง (วัดอรุณฯ เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่โครงสร้างหลักที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้น เป็นของที่เริ่มก่อสร้างสมัยรัชกาลที่ 2 โดยมีกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ที่ควบคุมงานก่อสร้าง) แถมยังมีบริบทแวดล้อมที่น่าสนใจอีกต่างหาก

 

คติการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องของไทยนั้น มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นตามคติเรื่อง “พระจักรพรรดิราช” ในชมพูบดีวัตถุ มาตั้งแต่เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างน้อย ดังปรากฏหลักฐานว่า เมื่อ พ.ศ.2398 ราชทูตลังกาได้มีโอกาสเห็น “พระพุทธรูปทรงเครื่อง” ที่ประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ ก็เกิดสงสัยใจขึ้น เพราะในลังกาไม่มีพระพุทธรูปทรงเครื่องอย่างนี้ จึงได้ถามต่อเจ้าพนักงานที่ต้อนรับขับสู้ว่า ทำไมสยามจึงสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง คล้ายเทวรูป?

ความตรงนี้ทราบไปถึงพระกรรณของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งทรงครองราชย์อยู่ในขณะนั้น จึงรับสั่งให้เสนาบดีชี้แจงไปในจดหมายของอัครเสนาบดีไทยมีไปถึงอัครเสนาบดีลังกา ปี พ.ศ.2399 ดังความว่า

“พระเจ้าราชธิราชผู้อุดมนั้น หาทรงทำพระราชกิจอันเป็นพระกุศลยวดยิ่ง ให้ผิดทำนองคลองพระพุทธพจน์ไม่ พระพุทธพิมพ์ที่ทรงมงกุฎเช่นนี้ได้มีปรากฏในมหาชมพูบดีวัตถุ เหตุนั้น ราชบุตรผู้เล่าเรียนนิทานนั้นชัดเจนบอกเล่ามีมาอย่างนี้แท้จริง”

 

เรื่องราวในชมพูบดีวัตถุ (หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มหาชมพูบดีสูตร) ที่ว่านี้ เล่าถึงท้าวมหาชมพู ผู้ครองมหานครใหญ่ที่ชื่อ นครปัญจาละ พรั่งพร้อมไปด้วยอิสริยยศและบริวารยศ หาผู้ใดในชมพูทวีปเสมอเหมือนไม่ได้ จึงสำคัญพระองค์ผิดว่าไม่มีใครสามารถสู้รบกับพระองค์ อยู่มาวันหนึ่งพระองค์ทอดพระเนตรเห็นกรุงราชคฤห์เจริญรุ่งเรืองยิ่ง ก็หมายจะสำแดงอิทธิฤทธิ์บังคับให้พระเจ้าพิมพิสารตกอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ แต่ก็ไม่สำเร็จด้วยพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าคุ้มครองไว้

พระพุทธเจ้าทรงเห็นเหตุดังนั้นก็หมายจะทรมานท้าวชมพูบดีให้สิ้นฤทธิ์ จึงเนรมิตพระองค์เป็น “พระจักรพรรดิราช” คือราชาเหนือราชาทั้งปวง เนรมิตวัดเวฬุวันวิหารให้เป็นพระนครหลวง ให้พระอินทร์จำแลงกายเป็นราชทูตไปทูลเชิญแกมบังคับให้ท้าวชมพูบดีมาเข้าเฝ้า

เมื่อท้าวชมพูบดีได้ทอดพระเนตรเห็นนครของพระจักรพรรดิราชมั่งคั่งสมบูรณ์กว่าพระองค์ ได้เข้าเฝ้าและทรงสดับพระราชบริหารต่างๆ ก็ละมิจฉาทิฐิยอมแพ้แก่ฤทธิ์ของพระจักรพรรดิราช พระพุทธองค์จึงคลายฤทธิ์ให้ท้าวชมพูบดีเห็นพระสรีระที่แท้จริง และแสดงธรรมเทศนาจนท้าวชมพูบดีบรรลุเป็นพระอรหันต์

ที่สำคัญก็คือ เรื่องเล่าของท้าวมหาชมพูที่ว่านี้ ก็ถูกวาดไว้บนฝาผนังส่วนเหนือกรอบบานประตูและบ้านหน้าต่างทั้ง 4 ด้านภายในพระอุโบสถ ที่วัดนางนอง แถมที่ผนังด้านหลังของพระพุทธรูปองค์นี้ ยังเขียนเป็นรูปท้าวหาชมพูบดีเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิราชที่มีสีทอง ราวกับจะฉายภาพขยายออกมาจากงานจิตรกรรมว่า ผู้ที่เข้ามาสักการะพระพุทธรูปองค์นี้ เปรียบได้กับท้าวมหาชมพูบดี ที่เข้ามากราบกรานศิโรราบต่อพระจักรพรรดิราชนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บานหน้าต่าง บานประตูทั้งหมด ภายในพระอุโบสถ ยังประดิษฐ์เป็นลวดลายลงรักปิดทอง รูปเครื่องราชูปโภคทั้งหลาย เฉพาะที่กรอบประตูทางเข้าด้านนอกของพระอุโบสถ มีลายลงรักปิดทองเรื่องกำเนิดรัตนะ (ซึ่งเป็นหนึ่งในแก้ววิเศษ 7 ประการของพระจักรพรรดิราชตามปรัมปราคติในพุทธศาสนา)

ทั้งหมดนี้ย่อมทั้งสอดคล้อง และตอกย้ำคติเรื่องพระจักรพรรดิราช ทั้งที่เขียนเล่าเป็นงานจิตรกรรม และแสดงออกเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง

(ซ้าย) พระมหามงกุฎ บนยอดนภศูล พระปรางค์วัดอรุณฯ (ขวา) ลายเส้นพระปรางค์วัดอรุณ

แต่ภายในพระอุโบสถแห่งนี้ไม่ได้มีแต่ภาพเขียนเรื่องพระจักรพรรดิราชนะครับ เพราะที่ผนังระหว่างกรอบหน้าต่างเขียนเป็นภาพที่วาดด้วยลายกำมะลอ (เทคนิคผสมงานลงรักสีและงานลายรดน้ำเข้าด้วยกัน) เล่าเรื่องสามก๊ก โดยได้ตัดตอนมาเล่าเฉพาะตั้งแต่ช่วงที่เล่าปี่เริ่มมีบทบาทสำคัญพอจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัย เรื่อยไปจนกระทั่งจบลงที่ชัยชนะเหนือโจโฉ ซึ่งคือเกียรติภูมิสูงสุดในชีวิตของเล่าปี่ก็ว่าได้

สรุปง่ายๆ อีกทีก็ได้ว่า เขียนเล่าเฉพาะส่วนที่แสดงให้เห็นว่า “เล่าปี่” เป็นกษัตริย์ที่ดี ตามค่านิยมแบบจีน

และก็อย่างที่รู้กันโดยทั่วไปว่า รัชกาลที่ 3 นั้นทรงมีพระราชนิยมในศิลปวัฒนธรรมจีนอย่างชัดเจน ถ้าพระองค์จะทรงผสมผสานความคิดเรื่องของจักรพรรดิราช เข้ากับคุณลักษณะของ “โอรสสวรรค์” ที่ดีตามความเชื่อแบบศาสนาขงจื๊อก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยสักนิด

อย่าลืมด้วยว่า ชนชาวสยาม และอีกสารพัดชนชาติที่ยอมรับนับถือศาสนาพุทธในอุษาคเนย์ จึงมีธรรมเนียมที่ชนชาวพุทธในลังกาทวีปไม่มี นั่นก็คือการนับถือ “พระมหากษัตริย์” ในฐานะที่ไม่ต่างไปจาก “พระพุทธเจ้า” ไม่ว่าจะเป็นในฐานะของพระพุทธเจ้าในอนาคต (เช่น สร้อยพระนามของพระมหากษัตริย์อย่างคำว่า หน่อพุทธางกูร เป็นต้น) หรือองค์พระพุทธเจ้าเอง (เช่น พระนามของพระมหากษัตริย์ที่หมายถึง พระพุทธเจ้าอย่าง พระบรมไตรโลกนาถ เป็นต้น)

ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมรัชกาลที่ 3 นอกจากจะสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง ขึ้นที่วัดนางนองแล้ว จึงยังต้องทรงแสดงรายละเอียดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็น “จักรพรรดิราช” ต่างๆ อีกให้เพียบไปทั่วทั้งพระอุโบสถแห่งเดียวกันนี้

 

สิ่งที่น่าสนใจและไม่ควรมองข้ามอีกอย่างหนึ่งก็คือ อันที่จริงแล้ว วัดนางนองนั้นไม่ได้เป็นวัดที่เพิ่งจะถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่เป็นวัดเก่าแก่ของคลองด่าน ย่านบางขุนเทียน ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เพียงแต่โครงสร้างของวัดทั้งหมดที่เห็นกันในทุกวันนี้ ล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 นี้เอง

และบริเวณพื้นที่คลองด่าน อันเป็นที่ตั้งของวัดนางนองนั้นเป็นพื้นที่ที่ควรจะมีนัยยะสำคัญสำหรับรัชกาลที่ 3 เป็นอย่างยิ่งเลยนะครับ เพราะที่บริเวณใจกลางของชุมชนบางขุนเทียน ซึ่งเป็นย่านเก่าของข้าหลวงเดิม ที่เกี่ยวข้องกับสายพระราชตระกูลในรัชกาลที่ 3 แถมวัดที่วางตัวอยู่ทั้งสองฟากข้างของลำคลองรวมทั้งสิ้น 3 วัด ได้แก่ วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร วัดหนังราชวรวิหาร และวัดนางนองวรวิหาร ซึ่งล้วนมีการบูรณะปฏิสังขรณ์โดยเกี่ยวข้องกับพระองค์เองทั้งสิ้น

วัดหนัง เป็นวัดเก่าแก่มีประวัติย้อนไปได้ถึงยุคอยุธยาเช่นกัน แม้ไม่ใช่วัดที่ได้รับการปฏิสังขรณ์โดยรัชกาลที่ 3 โดยตรง แต่ก็มีเรื่องเล่าว่า ราชนิกุลสายท่านเพ็ง ซึ่งเป็นพระชนนีของสมเด็จพระศรีสุลาลัย ผู้เป็นพระราชมารดาของรัชกาลที่ 3 เป็นชาวสวนมีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่บริเวณวัดหนัง

แสดงให้เห็นว่า ย่านนี้เป็นถิ่นเดิมที่มีภูมิหลังเกี่ยวข้องกับพระองค์

 

ส่วนวัดสมัยอยุธยาอีกแห่งคือ วัดราชโอรส นั้นเดิมชื่อวัดจอมทอง มีเรื่องเล่าลือกันว่า การที่รัชกาลที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการบูรณะวัดจอมทอง ตั้งแต่ครั้งดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ก่อนครองราชย์ จึงเรียกชื่อวัดนี้ต่อๆ กันมาว่า “วัดราชโอรส”

ฟังดูเผินๆ ก็ชวนให้รู้สึกคล้อยตามนะครับ แต่ในเมื่อเป็นย่านถิ่นเก่าของรัชกาลที่ 3 เอง ทำไมเพิ่งจะมาเรียกว่า “ราชโอรส” เอากันตอนที่ซ่อมวัด ทั้งที่ก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์พระองค์นี้เป็นพระราชบุตรของใคร?

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยเล่าเอาไว้ในหนังสือที่ชื่อความทรงจำว่า เมื่อครั้งที่ก่อสร้างพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามแล้วเสร็จนั้น รัชกาลที่ 3 ทรงมีรับสั่งให้นำเอา “มงกุฎ” ของพระพุทธรูปทรงเครื่องที่วัดนางนอง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า จะให้ “เจ้าฟ้ามงกุฎ” คือ รัชกาลที่ 4 เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์

แต่เมื่อพิจารณาจากร่องรอยหลักฐานหลายๆ อย่างแล้ว บางทีกรมพระยาดำรงฯ อาจจะเข้าใจผิดก็ได้นะครับ

เพราะการนำเอามงกุฎของพระพุทธรูปทรงเครื่อง อันเป็นสัญลักษณ์แห่ง “พระจักรพรรดิราช” ซึ่งสร้างขึ้นในบริเวณถิ่นฐานอำนาจของรัชกาลที่ 3 (อย่างมีนัยยะสำคัญทางพิธีกรรม) มาประดับไว้บนยอดของพระปรางค์วัดอรุณฯ อันเป็นพระปรางค์สำคัญที่ใหญ่ที่สุดของกรุงรัตนโกสินทร์ ณ ห้วงขณะนั้น ย่อมมีความหมายในเชิงพิธีกรรมที่ลึกซึ้ง

และไม่ควรที่จะเกี่ยวข้องกับพระนามก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่ 4 อย่างที่กรมพระยาดำรงฯ ได้อ้างไว้ •

 

On History | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

 

 

 

 

 



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

อินฟลูเอนเซอร์ คืออะไร ? รู้จักอาชีพยอดฮิต พร้อมต้นแบบที่ประสบความสำเร็จ
33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (131)
เล่าถวาย ‘พระธรรมทูต’ | ธงทอง จันทรางศุ
อนุสาสน์ เทียนวรรณ บทนิยาม ใคร คนหนังสือพิมพ์ ปัญญาชน ไพร่กระฎุมพี
สถานการณ์จริงของผู้สูงอายุในประเทศไทย
ความอดทนอดกลั้น (Tolerance) : คุณธรรมพื้นฐานของโลกร่วมสมัย
พลเมืองไทย พลเมืองโลก ดูจากปัญหาแผนที่ | ธงชัย วินิจจะกูล
ความมหัศจรรย์ ของนักปั่น Tour de France
Choline มีประโยชน์ต่อสมอง แต่ทำไมเราไม่รู้จัก
2475 ที่แตกต่าง เรื่องเล่าการปฏิวัติ ในการ์ตูนและสัปปายะสภาสถาน เมื่อปีที่ 93
เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ สุดยอดนักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล
เมษา พฤษภา 2553 ประสาน 3 พลัง ปราบ ‘แดง’ 3 ป. ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย