
Rebecca Horn ศิลปินผู้เปลี่ยนประสบการณ์ส่วนตัวให้กลายเป็นศิลปะ ที่สื่อถึงการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมอย่างทรงพลัง

Rebecca Horn | ศิลปินผู้เปลี่ยนประสบการณ์ส่วนตัวให้กลายเป็นศิลปะ
ที่สื่อถึงการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมอย่างทรงพลัง
ในเดือนกันยายนปี 2024 นี้ โลกศิลปะเพิ่งสูญเสียบุคลากรคนสำคัญ ผู้เป็นหนึ่งในศิลปินที่ก้าวล้ำนำหน้าที่สุดในยุคสมัยของเธอ ในช่วงปลายยุค 1960 ผู้มีชื่อว่า รีเบคกา ฮอร์น (Rebecca Horn) ศิลปินหญิงชาวเยอรมัน ผู้สร้างสรรค์ผลงานประติมากรรม ภาพยนตร์ ศิลปะจัดวาง ศิลปะแสดงสด ภาพวาดลายเส้น และภาพถ่าย อันเกิดจากความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและความคิดอันลึกซึ้งแหลมคม
รีเบคกา ฮอร์น เกิดในปี 1944 ที่เมืองมิเชลสตัดท์ ประเทศเยอรมนี หลังจากเรียนวาดเส้นกับครูพี่เลี้ยงชาวโรมาเนีย เธอก็หลงใหลในการวาดภาพแทนการแสดงออกด้านอื่นๆ เหตุเพราะการวาดภาพไม่มีข้อจำกัดเหมือนภาษาพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ชีวิตในเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ทำให้เธอชอบการวาดภาพมากกว่าพูดจากับคนอื่น
“ด้วยความที่เยอรมนีกลายเป็นที่รังเกียจชิงชัง เราจึงไม่อาจพูดภาษาเยอรมัน และหันไปเรียนภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ เพื่อที่เวลาเราเดินทางไปประเทศอื่น เราต้องพูดภาษาอื่นแทน แต่เวลาวาดภาพ ฉันไม่ต้องวาดเป็นภาษาอะไร ทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส หรืออังกฤษ ฉันก็แค่วาดภาพออกมาเท่านั้น”
ในช่วงอายุ 19 ปี ฮอร์นต่อต้านพ่อแม่ของเธอที่วางแผนจะให้เธอเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์ และหันมาเรียนศิลปะแทน ในปี 1963 เธอเข้าเรียนในสถาบัน Hamburg Academy of Fine Arts ก่อนที่จะหยุดเรียนเพราะปัญหาสุขภาพ หลังจากนั้นในช่วงที่เธออายุ 20 ปี เธออาศัยอยู่ในเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน เช่าห้องโรงแรมและทำประติมากรรมไพเบอร์กลาสโดยไม่สวมหน้ากากป้องกันสารเคมี เพราะไม่มีใครบอกเธอว่ามันอันตราย ส่งผลให้เธอป่วยหนักและต้องใช้เวลาในสถานพยาบาลนับปี ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิต
หลังจากออกจากสถานพยาบาล ฮอร์นเริ่มหันมาใช้สื่อวัสดุที่อ่อนนุ่มสร้างสรรค์ผลงานประติมากรรม โดยได้แรงบันดาลใจจากอาการเจ็บป่วยและการฟักพื้นอันยาวนานในชีวิตของเธอ

White Body Fan (1972) ภาพจาก https://shorturl.at/bFO6V

Unicorn (1970-2) ภาพจาก https://shorturl.at/bFO6V
ตลอดอาชีพการทำงานศิลปะ รีเบคกา ฮอร์น สนใจในการสร้างสรรค์วัตถุอันเปี่ยมมนต์ขลัง ที่ถ่ายทอดทั้งความรู้สึกอันอ่อนโยนและร้าวรานออกมา ผลงานของเธอได้รับอิทธิพลจากศิลปินหญิงในกลุ่มเซอร์เรียลิสม์ และต่อยอดมาเป็นประติมากรรมร่วมสมัยขนาดใหญ่ บทกวี และประติมากรรมเชิงกลไกต่างๆ โดยได้แรงบันดาลใจจากช่วงชีวิตในวัยเยาว์ที่ต้องเผชิญกับความโกลาหลของสังคมในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเยอรมนี และเรื่องเล่าอันเปี่ยมจินตนาการชวนสยองของพ่อของเธอ แถมในช่วงวัยแรกสาว เธอยังต้องเผชิญกับอาการเจ็บป่วยจนต้องนอนติดเตียง ทำให้เธอสร้างประติมากรรมนุ่มนิ่มด้วยวัสดุที่เธอสามารถใช้ทำงานบนเตียงได้
ถึงแม้จะประสบกับความเจ็บปวดจากสุขภาพอันทรุดโทรม แต่เธอก็สามารถเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส ในการทำความเข้าใจศักยภาพทางจิตวิญญาณของตนเองและผู้อื่นมากขึ้น ยังผลให้เธอสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่สามารถเชื่อมโยงและสื่อสารกับผู้คนได้อย่างเปี่ยมประสิทธิภาพยิ่ง
รีเบคกา ฮอร์น เป็นหนึ่งในศิลปินไม่กี่คนที่มีความคิดอันลึกซึ้งเกี่ยวความเป็นมนุษย์ และแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามนุษย์นั้นมีความหมายมากกว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นภายนอก ด้วยผลงานประติมากรรมและศิลปะแสดงสดที่เผยสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจมนุษย์ให้ปรากฏให้เห็นภายนอก เพื่อช่วยให้ผู้ชมเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกอันซับซ้อนหรือแม้แต่ส่งผลต่อการเยียวยาบาดแผลภายใจจิตใจ
ผลงานส่วนใหญ่ของฮอร์น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานประติมากรรม และงานศิลปะจัดวางขนาดใหญ่ของเธอ ที่มักจะดูคล้ายเครื่องทรมาน ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเครื่องมือในการตีแผ่ความเป็นมนุษย์ ทั้งสงคราม ความอยุติธรรม ความโหดร้าย และควานรุนแรงที่มนุษย์ทำต่อกัน
ผลงานของเธอไม่เพียงตีแผ่ประสบการณ์ส่วนตัว หากแต่ยังตีแผ่ประสบการณ์ส่วนรวมทางสังคมการเมือง ประหนึ่งเป็นขุมพลังในการต่อสู่กับภยันตรายจากการเพิกเฉยทางการเมืองและการหลงลืมไม่เรียนรู้บทเรียนจากความผิดพลาดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา

Finger Gloves (1972) ภาพจาก https://shorturl.at/bFO6V

Pencil Mask (1972) ภาพจาก https://shorturl.at/bFO6V
ในผลงานศิลปะแสดงสดชุดแรกๆ ของเธอย่าง Body – extensions ฮอร์นสำรวจสมดุลระหว่างร่างกายมนุษย์และพื้นที่ว่างผ่านผลงานประติมากรรมที่สวมใส่ได้ ที่เธอออกแบบตัดเย็บให้เข้ากับร่างกายของเธอและเพื่อนร่วมงาน ในรูปของหน้ากากและส่วนต่อขยายร่างกายที่ทำจากผ้า, ไม้, ผ้าพันแผล, เข็มขัด, ขนนก และสิ่งของรอบๆ ตัว ทั่วๆ ไป
ประติมากรรมสวมใส่ได้เหล่านี้ทำหน้าที่ขยายร่างกายของผู้สวมใส่ให้ยืดยาวขึ้น เพื่อทำศิลปะแสดงสดและบันทึกไว้เป็นภาพถ่ายและภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็น White Body Fan (1972) ปีกผ้าที่ทำให้ผู้สวมใส่กลายเป็นเหมือนพัดขนาดยักษ์สยายปีกอยู่กลางเนินทรายรกร้าง, Unicorn (1970-2) ชุดบอดี้สูทติดหมวกมีเขา ที่ทำให้ผู้สวมใส่กลายเป็นมนุษย์ยูนิคอร์นเดินทอดน่องในทุ่งข้าวสาลี หรือ Finger Gloves (1972) ถุงมือต่อนิ้วที่ยาวเป็นเมตรๆ เพื่อยื่นมือคีบเศษกระดาษบนพื้น และ Pencil Mask (1972) หน้ากากที่ทำจากเข็มขัดผ้ารัดศีรษะติดดินสอนับสิบเล่ม ให้ศิลปินใช้ขยับศีรษะไปมาเพื่อวาดลายเส้นบนกระดาษติดผนัง หรือ Measure Box (1970) โครงเหล็กรูปกล่องที่มีแท่งเหล็กเสียบตามรูที่เจาะบนเสาสี่ด้านให้เหล็กชนร่างกายของศิลปินและทิ้งรูปทรงร่างกายของเธอเป็นพื้นที่ว่างเปล่าเอาไว้ภายใน
ฮอร์นยังมีความสนใจในศักยภาพของเสียง และมักจะผสานเครื่องดนตรีเข้าไปในผลงานประติมากรรมและศิลปะจัดวางของเธอ เพื่อหลอมรวมศิลปะทั้งสองแขนงเข้าไว้ด้วยกัน ภายในผลงานที่เป็นทั้งบทกวีและวิทยาศาสตร์ของเธอ เหตุผลอีกประการที่เธอสอดแทรกเสียงดนตรีเข้าไปในผลงานของเธอ ก็เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ชมเข้าถึงงานศิลปะของเธอในลักษณะเดียวกันกับการเสพดนตรี ที่ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนพยายามทำความเข้าใจ หากแต่เป็นการสดับรับฟัง และสัมผัสเชื่อมโยงกับผลงานของเธอด้วยสัญชาตญาณมากกว่า
โดยวัตถุต่างๆ ที่เธอเลือกใช้ทำงานศิลปะจัดวางก็มีอย่าง ไวโอลิน, กระเป๋าเดินทาง, ไม้บาตองของวาทยากร, บันได, เปียโน, พัดขนนก, เครื่องเคาะจังหวะ (Metronome), ค้อนโลหะขนาดเล็ก, อ่างน้ำ, เครื่องวาดภาพหมุนเรขาคณิต และกรวยขนาดใหญ่ ที่ถูกนำมาสร้างเป็นประติมากรรมจลนศาสตร์ (Kinetic sculpture ประติมากรรมที่เคลื่อนไหวได้ด้วยแรงต่างๆ อย่าง แรงดันน้ำ แรงลม หรือกลไกภายใน) ที่อุปมาถึงประเด็นทางประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และประเด็นเกี่ยวกับจิตวิญญาณ

Measure Box (1970) ภาพจาก https://shorturl.at/bFO6V

Measure Box (1970) ภาพจาก https://shorturl.at/bFO6V
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ฮอร์นสร้างงานศิลปะจัดวางขนาดใหญ่ที่อุทิศให้พื้นที่สำคัญทางการเมืองและประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น Concert in Reverse (1997) ในเมืองมึนส์เทอร์ เยอรมนี ผลงานศิลปะจัดวางที่รำลึกถึงประวัติศาสตร์ของอาคารหอคอยเทศบาลที่เคยเป็นแดนประหารนักโทษของนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
หรือ Concert for Buchenwald (1999) ในเมืองไวมาร์ เยอรมนี ผลงานศิลปะจัดวางในพื้นที่อดีตสถานีรถไฟ โดยนำเถ้ากระดูกบรรจุในตู้กระจก และกองซากกีตาร์และเครื่องดนตรีประเภทดีดจำนวนมากบนรางรถไฟ เพื่ออุปมาถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเยอรมนี
หรือ Concert for Anarchy (1990) ผลงานศิลปะจัดวางในรูปของเปียโนขนาดใหญ่ที่ถูกแขวนคว่ำลงจากเพดานสูงเหนือศีรษะของผู้ชม โดยในทุกๆ 2-3 นาที คีย์เปียโนจะกระเด้งทะลักออกมาจากเปียโนอย่างกะทันหัน จนดูเหมือนนิ้วมือยื่นออกมาจากแป้นเปียโน ในขณะเดียวกัน ฝาเปียโนจะเปิดออกเพื่อแสดงการทำงานภายในของเครื่องดนตรี ก่อนที่คีย์จะหดกลับและฝาปิดลง วนเวียนเป็นวงจรซ้ำไปซ้ำมา
ด้วยวิธีนี้ ฮอร์นทำให้เปียโนกลายเป็นเหมือนมนุษย์ที่ถูกผ่าตัดเปิดให้เห็นการทำงานภายในร่างกาย เพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ ทั้งทางในเชิงกายภาพและอารมณ์

Concert for Buchenwald (1999) ภาพจาก https://shorturl.at/mNBAH

Concert for Anarchy (1990) ภาพจาก https://shorturl.at/48RBO
หรือ High Moon (1991) ผลงานประติมากรรมกลไกที่ใช้ปืนไรเฟิลสองกระบอก แขวนหันปากกระบอกปืนเข้าหากัน โดยตัวปืนต่อท่อเข้ากับอ่างเลือด เพื่อให้ปืนทั้งสองกระบอกฉีดพ่นเลือดเข้าใส่กันและกัน เพื่อแสดงความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนระหว่างความตึงเครียดและการปลดปล่อย ความสุขและความเจ็บปวด ความล่อแหลมอันตรายและความรู้สึกทางเพศ ไปพร้อมๆ กัน
หรือ Spiriti di Madreperla (Spirits of Mother Pearl) (2002) ผลงานที่ฮอร์นเปลี่ยนพื้นที่ของ เปียสซา เดล เพิลบิสซิโต (Piazza del Plebiscito) หนึ่งในจัตุรัสขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองเนเปิลส์ อิตาลี ให้กลายเป็นพื้นที่สนามพลังแม่เหล็กที่ถ่ายทอดกระแสไฟฟ้าผ่านหลอดไฟวงแหวนสีเรืองรองห้อยแขวนเหนือจัตุรัส ใต้หลอดไฟมีประติมากรรมหัวกะโหลกโลหะหล่อ ติดตั้งบนพื้นหิน เป็นการรำลึกถึงสุสานที่อยู่ในห้องใต้ดินใต้จัตุรัส เพื่อสร้างบทสนทนากับเมืองแห่งนี้
หรือผลงาน Light Imprisoned in the Belly of the Whale (2002) ศิลปะจัดวางที่สร้างบทกวีเรืองแสงจำนวน 53 บท เป็นตัวหนังสือฉายส่องหมุนเวียนบนผนัง พื้นห้อง และบ่อบรรจุน้ำสีดำที่มีอุปกรณ์อัตโนมัติสร้างระลอกคลื่นบนผิวน้ำ คลอด้วยเสียงบรรเลงดนตรีของ เฮย์เดน คริสโฮล์ม (Hayden Chisholm) นักดนตรีร่วมสมัยชาวนิวซีแลนด์
องค์ประกอบทั้งหลายเหล่านี้นอกจากจะสร้างประสบการณ์อันพิเศษให้แก่ผู้ชมแล้ว ยังโอบอุ้มให้ผู้ชมกลายเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะอีกด้วย

High Moon (1991) ภาพจาก https://shorturl.at/3tFOR

Spiriti di Madreperla (Spirits of Mother Pearl) (2002) ภาพจาก https://rb.gy/uqkua1
รีเบคกา ฮอร์น ถูกยกให้เป็นศิลปินเยอรมันคนสำคัญที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับผลกระทบทางประวัติศาสตร์ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้อย่างทรงพลัง ไม่ต่างจากศิลปินร่วมชาติอย่าง โจเซฟ บอยส์ และ อันเซล์ม คีเฟอร์ ฮอร์นนำประสบการณ์ส่วนตัวของเธอในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเปลี่ยนเป็นภาษาทางศิลปะอันทรงพลังและกระตุ้นให้ผู้คนหวนรำลึกถึงบทเรียนอันเจ็บช้ำในอดีต เพื่อสื่อถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองในเชิงบวกอย่างสร้างสรรค์
รีเบคกา ฮอร์น เสียชีวิตในวันที่ 6 กันยายน 2024 ในวัย 80 ปี เหลือทิ้งไว้แต่เพียงผลงานและแรงบันดาลใจแก่คนทำงานสร้างสรรค์รุ่นหลัง •
ข้อมูล https://www.rebecca-horn.de/, https://shorturl.at/H1lW5
อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022