เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

จะแจกแบบ NIT หรือ UBI ต้องถามว่า : รัฐกล้าเก็บภาษีเพิ่มไหม?

01.10.2024

เรื่องของการใช้ระบบ “ภาษีติดลบ” หรือ Negative Income Tax (NIT) ที่รัฐบาลแพทองธารเขียนระบุไว้ในคำแถลงนโยบายจะทำได้แค่ไหน และตอบโจทย์ปัญหาของประเทศหรือไม่ ต้องวิเคราะห์ว่าจะเอาเงินมาจากไหน?

คุ้มค่าหรือไม่?

และหากเปรียบเทียบกับ Universal Basic Income (UBI) ที่เป็นอีกวิธีหนึ่งของการช่วยสร้าง “ตาข่ายความปลอดภัยของสังคม” หรือ Social Safety Net ให้กับพลเมือง ระบบไหนมีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

คำถามใหญ่คือไม่ว่าวิธีไหนจะดีเพียงใด หากไม่มีเงินก็คงทำไม่ได้

จึงต้องพิจารณาว่าค่าใช้จ่ายของทั้งสองระบบเป็นอย่างไร

 

ชัดเจนว่า NIT มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า UBI เพราะเป็นระบบที่ให้สิทธิประโยชน์เฉพาะกับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์เท่านั้น ไม่ได้แจกเหวี่ยงแห

แต่กระนั้นก็ตาม ค่าใช้จ่ายยังคงสูงอยู่

หากเกณฑ์รายได้ถูกตั้งไว้สูง หรือมีประชากรจำนวนมากที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์

UBI แพงกว่าเพราะก่อนอื่นต้องคำนวณว่ารายได้พื้นฐานระดับไหนจึงจะเป็นเพียงพอสำหรับประชาชนทุกคนในอันที่จะ “อยู่ได้” แต่ไม่ “อยู่สบายเกินไป” จนไม่อยากหางานทำเพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับตนเอง

เรื่องใหญ่คือรัฐบาลต้องหารายได้เพิ่มอย่างมหาศาลหากจะเดินหน้าทำเรื่อง NIT หรือ UBI

เอาง่ายๆ เลย…ถ้ารัฐบาลไม่มีความกล้าหาญทางการเมืองหรือความเก่งกล้าสามารถในการปฏิรูประบบภาษีเพื่อเก็บภาษีเพิ่มอย่างเป็นกอบเป็นกำ และลดค่าใช้จ่ายในทุกๆ ด้านอย่างจริงจัง

อีกทางหนึ่งก็คือการกู้มา

แต่การกู้มาเพื่อทำนโยบายแจกเงินอย่างนี้ย่อมเข้าข่ายเป็นหนทาง “สิ้นคิด”

 

ต้นทุนของการนำระบบ NIT มาใช้ย่อมขึ้นอยู่กับขนาดของประชากรที่มีสิทธิ์ เกณฑ์รายได้ และอัตราเงินอุดหนุน

เพราะ NIT ให้ความช่วยเหลือทางการเงินเฉพาะผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าระดับที่กำหนด ต้นทุนโดยรวมของระบบจึงต่ำกว่า UBI

แต่ NIT มีเป้าหมายชัดเจนกว่า ซึ่งหมายความว่าเงินจะถูกแจกจ่ายเฉพาะผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น

โดยหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินจำนวนมากให้กับบุคคลที่มีรายได้สูงกว่าซึ่งไม่จำเป็นต้องให้รัฐช่วยแต่อย่างใด

NIT ยังเปิดทางให้ลดค่าใช้จ่ายของรัฐแบบค่อยเป็นค่อยไป

เพราะเมื่อรายได้ของผู้รับเพิ่มขึ้นก็จะช่วยลดรายจ่ายของรัฐบาล

ในระบบ UBI ทุกคนจะได้รับเงินเท่ากันโดยไม่คำนึงถึงรายได้

นั่นแปลว่า รัฐบาลจะต้องเพิ่มภาษีเป็นจำนวนมหาศาล หรือไม่ก็จัดสรรเงินจากส่วนอื่นๆ ของงบประมาณ เช่น การรักษาพยาบาล การป้องกันประเทศ หรือการศึกษา

ซึ่งก็จะสร้างปัญหาให้กับการพัฒนาด้านอื่นๆ ของประเทศ

และจะเผชิญกับแรงต่อต้านจากทั้งภายในรัฐบาลและประชากรกลุ่มอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นักการเมืองคิดเรื่องเหล่านี้เพราะมองดูความนิยมทางการเมืองที่จะมาจากการแจกเงินให้ประชาชน

กลุ่มนักการเมืองที่เรียกตัวเองว่าหัวก้าวหน้าเห็นว่า NIT สามารถสร้าง “ตาข่ายนิรภัยให้คนจน”

นักการเมืองค่ายนี้สามารถจะหาเสียงด้วยการบอกว่า NIT คือแนวทางการช่วยลดความยากจนของบ้านเมือง

สอดคล้องกับเป้าหมายความยุติธรรมทางสังคม

สำหรับฝ่ายอนุรักษนิยม นักการเมืองอาจจะอ้างว่าการใช้ระบบ NIT ทำให้มีค่าใช้จ่ายน้อยลงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อีกทั้งยังสามารถกำหนดกรอบเป็นนโยบายที่สนับสนุนการหางานทำได้ด้วย

เพราะภายใต้ NIT นั้น เงินอุดหนุนจากภาษีประชาชนจะลดลงเมื่อรายได้ของแต่ละคนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยจูงใจให้มีการจ้างงาน

 

ที่ผ่านมา NIT ได้รับเสียงเชียร์จากพรรคการเมืองทั้งสองขั้ว

นักเศรษฐศาสตร์คนดัง Milton Friedman ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นฝั่งอนุรักษนิยมสนับสนุน NIT ในช่วงทศวรรษ 1960

ด้วยเชื่อว่าระบบนี้สามารถแทนที่ระบบสวัสดิการสังคมเพราะเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและติดขัดในระบบราชการน้อยลง

เมื่อ NIT ไม่ต้องควักเงินจ่ายอุดหนุนทุกคนแบบ “ถ้วนหน้า” จึงมักเผชิญกับการต่อต้านทางการเมืองน้อยกว่าระบบ UBI

แต่ก็ใช่ว่ากลุ่ม NIT จะปราศจากแรงต้านเสียเลยทีเดียว

ความท้าทายทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นประการหนึ่งของ NIT คือการประทับตราว่าเป็น “สวัสดิการตามรายได้”

ทำให้เกิดการตีความว่าจะมีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่ “สมควร” ได้รับความช่วยเหลือ

ด้วยเหตุนี้จึงอาจจะได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายลดน้อยลง

อีกทั้งยังมีคนโต้แย้งได้ว่า การนำ NIT ไปใช้สู้ระบบรัฐสวัสดิการที่แข็งแกร่งและครอบคลุมไม่ได้เลย

 

คนชอบ UBI อ้างว่าระบบนี้มีความ “เท่าเทียม” ตรงที่ว่าทุกคนได้เงินช่วยเหลือจากรัฐเท่ากัน

จึงไม่สร้างความแตกต่างทางสังคมระหว่างผู้รับที่ “สมควรได้รับ” และ “ไม่สมควรได้รับ”

และแนวคิด UBI เข้าใจง่ายกว่าเพราะทุกคนจะได้รับเงินเท่ากัน

เป็นการหลีกเลี่ยงระบบราชการที่ซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร NIT หรือโครงการสวัสดิการอื่นๆ

ในแง่หนึ่ง UBI ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากกลุ่มก้าวหน้าซึ่งมองว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ “กล้าหาญ” ในการต่อสู้กับความยากจน และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

อีกทั้งยังเป็นกันชนสำหรับผู้คนในการปรับตัวกับลักษณะงานที่เปลี่ยนแปลงไปในโลกที่ระบบอัตโนมัติคุกคามงานจำนวนมาก

UBI ยังดึงดูดใจผู้รักอิสระที่ชอบโอนเงินสดมากกว่าโปรแกรมที่รัฐบาลดำเนินการซึ่งกำหนดว่าควรใช้สิทธิประโยชน์อย่างไร

คนไม่ชอบ UBI โต้แย้งว่าระบบนี้การจ่ายเงินให้ทุกคนรวมถึงคนรวยเป็นการใช้ทรัพยากรสาธารณะอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

และค่าใช้จ่ายที่สูงของ UBI ทำให้การนำไปปฏิบัติมีความท้าทายทางการเมือง

เพราะในท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นต้องขึ้นภาษีอย่างหนักหรือไม่ก็ต้องจัดสรรบริการที่จำเป็นอื่นๆ ใหม่

อีกทั้งยังอาจจะเผชิญกับการต่อต้านจากกลุ่มประชากรที่เชื่อว่าการโอนเงินสดโดยไม่มีเงื่อนไขจะทำให้การทำงานลดลงและส่งเสริมการพึ่งพารัฐบาลมากขึ้น

เป็นการสร้าง “พลเมืองเกียจคร้าน” ไม่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับสังคม

กลายเป็นประเทศที่ผู้คนงอมืองอเท้า ชื่นชมแต่รัฐบาลที่มีนโยบาย “ลด แลก แจก แถม” เท่านั้น

 

สหรัฐอเมริกาใช้ NIT ในทศวรรษที่ 1960 และ 1970 ในบางเมือง เช่น ซีแอตเทิลและเดนเวอร์

โดยแจกเงินสดแก่ครอบครัวที่มีรายได้น้อยตามระดับรายได้

แม้ว่าท้ายที่สุดจะไม่ได้ใช้ NIT อย่างแพร่หลายมากขึ้นแต่การทดลองครั้งนั้นก็กลายเป็นพื้นฐานให้กับการพัฒนาระบบเครดิตภาษีรายได้ที่ได้รับ (Earned Income Tax Credit : EITC)

อันเป็นรูปแบบหนึ่งของภาษีรายได้ติดลบสำหรับผู้ใช้แรงงานที่มีรายได้น้อย

แคนาดาทดลอง Mincome (ระหว่างปี 1974-1979) ในเมืองแมนิโทบา

โดยได้ทดสอบระบบ NIT ในเมืองดอว์ฟิน ซึ่งผู้อยู่อาศัยที่มีรายได้น้อยได้รับรายได้ขั้นต่ำที่รับประกัน

โครงการนี้ถึงจะยุติไปแล้ว ต่อมาการศึกษาหลังจากนั้นพบผลลัพธ์ที่ดีทางสังคม เช่น อัตราการเข้าโรงพยาบาลที่ลดลงและสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

 

ฟินแลนด์เปิดโครงการนำร่อง UBI เป็นเวลาสองปี (2017-2018)

โดยให้ประชาชนที่ว่างงาน 2,000 คน รับเงินเดือนละ 560 ยูโร โดยไม่คำนึงถึงรายได้อื่นๆ หรือการหางานทำ

แม้ว่าผลกระทบต่อการจ้างงานจะมีจำกัด แต่การทดลองนี้ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและลดความเครียด

อิหร่าน : ตั้งแต่ปี 2010 อิหร่านได้ใช้รูปแบบของ UBI ผ่านการโอนเงินสด

หลังจากยกเลิกการอุดหนุนเชื้อเพลิงและอาหาร ประชาชนทุกคนจะได้รับเงินสดเป็นประจำ

แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในการลดความไม่เท่าเทียมกัน แต่ก็เผชิญกับความท้าทายจากเงินเฟ้อและสภาวะเศรษฐกิจในวงกว้าง

เคนยา : ในปี 2016 องค์กรการกุศล GiveDirectly ได้เริ่มการทดลอง UBI ระยะเวลา 12 ปีในชนบทของเคนยา

หลายพันคนในหมู่บ้านต่างๆ ได้รับเงินสดเป็นประจำ ผลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่ามีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สุขภาพ และการศึกษา

 

นักการเมืองไทยพรรคไหนกล้าคิดก็ต้องกล้าทำ

นั่นคือต้องบอกกล่าวกับประชาชนก่อนว่าจะปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่อย่างไร

เพราะถ้าไม่กล้าเก็บภาษีคนมีเงินอย่างจริงจังเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ก็อย่าได้คุยโม้โอ้อวดว่าจะกล้าทำเรื่อง NIT หรือ UBI เลย

เพราะหากจะช่วยคนจนจริงก็ต้องกล้าเก็บภาษีคนรวยอย่างเป็นกอบเป็นกำ

อย่างหลังนี้ต้องใช้ความ “กล้าหาญทางการเมือง” (political will) อย่างมาก

ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดแคลนมากที่สุดในการเมืองไทยวันนี้!



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

จดหมาย
หมี่กระเฉด ซีฟู้ด
เดินตามดาว | ศรินทิรา
‘มิตซูบิชิ ไทรทัน’ MY2025 ปรับใหม่ดุดันขึ้น-เพิ่มออปชั่น
ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ลุกลาม ‘วงการกีฬา’ จับตาห้ามแข่ง ‘ซีเกมส์’
อสังหาฯ อย่าคาดหวังกำลังซื้อจีน
ยูเอส โอเพ่น ครั้งที่ 125 เมื่อ ‘โจทย์’ ยากเกินไป ก็ไม่สนุก
สะแกแสงและขางหัวหมู ไม้ยาหายาก
ดาวกับดวง วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568
ขอแสดงความนับถือ
“อนุทิน” นิ่งสงบหลังถอนตัวจากรัฐบาล ย้ำ “ภูมิใจไทย” ไม่ตั้งรัฐบาลแข่ง เตรียมทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ ขอให้บ้านเมืองสงบ
“ชัยวุฒิ”เผย เพื่อไทยพยายามชวนร่วมรัฐบาล แต่ พปชร.ไม่ร่วม ฝากพรรคร่วมฯ ถ้ายังกอดคอกันอยู่ จะจมน้ำตายกันหมด แนะ ถอนตัวตั้งรัฐบาลใหม่