เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

อนุรักษนิยมใหม่ คือทางตันไม่ใช่ทางออก

30.09.2024

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/

 

อนุรักษนิยมใหม่

คือทางตันไม่ใช่ทางออก

 

อนุรักษนิยมใหม่คืออะไร เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครนิยามให้ชัดเลย

แต่อยู่ดีๆ เรื่องที่พร่ามัวยิ่งกว่าฝุ่นพิษ PM 2.5 กลับกลายเป็นเรื่องที่คนพูดกันเยอะไปหมด

แถมสื่อบางค่ายยังพูดราวกับ “อนุรักษนิยมใหม่” คือทางออกของประเทศ ถึงแม้จะไม่บอกว่าคำนี้แปลว่าอะไรและหมายถึงใคร

ฟังเผินๆ เหมือนประเทศถึงทางตันแล้ว และประตูออกจากทางตันคือ “อนุรักษนิยมใหม่” ต่อให้ไม่รู้ว่าคืออะไร และไม่มีใครบอกว่าประตูนี้จะดำดิ่งไปขึ้นสวรรค์หรือลงเหวที่ไหนก็ตาม

ล่าสุดจู่ๆ ก็มีข่าวอดีต ผบ.ทบ.ที่โจมตีพรรคอนาคตใหม่ว่า “ซ้ายจัดดัดจริต” เตรียมตั้งพรรอนุรักษนิยมใหม่ร่วมกับอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและปลัดมหาดไทยที่มีข่าวแบบนี้ 3 ปีแล้ว

และแม้แต่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปร้องเพลงกับ “แอ๊ด คาราบาว” ก็มีข่าวเรื่องพรรคอนุรักษนิยมใหม่อีกเช่นกัน

 

ถ้าโฉมหน้าของ “อนุรักษนิยมใหม่” มีแค่นี้ อนุรักษนิยมใหม่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการตั้งพรรคการเมืองของคนหน้าเก่าที่แพ้ซ้ำซาก ไปพรรคไหนก็ไม่ได้ ขวาสุดโต่ง และแทบทุกคนล้วนไม่ได้แสดง “บารมี” หรือมีความเป็นผู้นำทางการเมืองมากพอจนสังคมอยากเห็นเป็นผู้นำประเทศเลย

“นักวิเคราะห์” ในสถานีโทรทัศน์ของรัฐสดุดีที่คนกลุ่มนี้เข้าสู่อำนาจโดยการตั้งพรรคว่าดีกว่าการใช้กระบอกปืน แต่การได้มาซึ่งอำนาจรัฐผ่านการเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติของโลก จึงเป็นเรื่องประหลาดหากใครสักคนจะชื่นชมคนที่ตั้งพรรคแบบนี้ว่าดีที่ไม่ใช่วิธีปฏิวัติรัฐประหารไปเลย

เมื่อใดสังคมชื่นชมที่ทหารไม่รัฐประหาร เมื่อนั้นสังคมก็ “จนตรอก” ไม่ต่างกับชาวบ้านที่ชื่นชมว่าโจรไม่ปล้นหมู่บ้าน, คนใช้ถนนที่ชื่นชมคนขับรถว่าไม่พุ่งชนตรงทางม้าลาย, แม่ค้าที่ขอบคุณตำรวจว่าไม่รีดไถ หรือประชาชนขอบคุณข้าราชการที่ไม่รับส่วยเวลาให้บริการ

ประเทศไทยมีรัฐประหาร 13 ครั้ง หรือเฉลี่ยคือทหารยึดอำนาจแล้วตั้งรัฐบาลใหม่ทุก 6 ปี สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่ทหารปกครองประเทศแบบ “อำนาจนิยม” (Authoritarianism) โดยมีพันธมิตรคือชนชั้นนำกลุ่มต่างๆ ตามแต่สถานการณ์และ “อำนาจนำ” ที่เปลี่ยนไปแต่ละยุคตามเงื่อนไขในสังคม

ด้วยเหตุที่ทหารมักรัฐประหารโดยอ้างว่าปกป้องสถาบันหลักและความสงบเรียบร้อยในสังคม คนไทยจึงถูกกล่อมประสาทโดยทหารและชนชั้นนำที่ร่วมมือกับทหารมานานนับทศวรรษ วาทกรรมว่ากองทัพคือเครื่องมือรักษาสถาบันทำให้คนไทยคิดว่า “อำนาจนิยม” เป็นเรื่องเดียวกับ “อนุรักษนิยม” โดยปริยาย

 

คนไทยถูกสอนผิดๆ ว่า “อนุรักษนิยม” คือการรักษาค่านิยมและสถาบันที่มีอยู่เดิม แต่ทุกสังคมมีค่านิยมและสถาบันโบราณที่โละทิ้งเยอะไปหมด ค่านิยมจึงต้อง “ดี” พอที่จะถูกรักษาไว้ในสังคมด้วย ไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นการบังคับให้สังคมเก็บสิ่งไม่มีคุณค่าและไม่มีประโยชน์กับใครเลย

ยกตัวอย่างง่ายๆ วิธีแต่งกายแบบชายไทยที่เปลือยท่อนบนแล้วนุ่งผ้ายกรั้งนั้นเย็นสบายจนเหมาะกับอากาศเมืองไทย

แต่ของดีแบบนี้ก็ไม่มีใครเก็บไว้นอกจากในละครหลังข่าว เพราะการแต่งกายแบบนี้ถูกฝรั่งสอนว่าประเจิดประเจ้อ ป่าเถื่อน ฯลฯ ถึงแม้เสื้อผู้หญิงเดี๋ยวนี้จะมีผ้าหุ้มท่อนบนนิดเดียว

ผมไม่แน่ใจว่าในแง่สังคมไทยช่วงรอยต่อสู่สังคมสมัยใหม่มีกฎหมายบังคับให้ชายไทยต้องใส่เสื้อออกจากบ้านหรือเปล่า แต่ตอนนี้คงไม่มีใครแต่งตัวออกจากบ้านแบบนั้นแน่ๆ ถึงจะไม่มีกฎหมายห้าม เพราะทุกคนรู้ดีการแต่งตัวแบบโบราณอย่างนั้นในปี 2567 เป็นเรื่องที่สังคมไม่ยอมรับเลย

หัวใจของอนุรักษนิยมไม่ใช่การเก็บของเก่าทุกอย่าง

แต่คือการเลือกเก็บ และในการเลือกเก็บนั้น “สังคม” จะเป็นคนวินิจฉัยว่าอะไรควรเก็บ, อะไรควรรักษาไว้เหมือนเดิม, อะไรควรปรับปรุง, อะไรที่ไม่สอดคล้องกับยุคสมัยแล้ว และอะไรที่ควรดัดแปลงให้สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน

ทหารมักรัฐประหารโดยสุมหัวกับชนชั้นนำหลอกชาวบ้านว่าทำเพื่อ “อนุรักษนิยม”

แต่ที่จริงคนเหล่านี้ใช้ “อำนาจนิยม” เป็นข้ออ้างทำและไม่ทำอะไรโดยอ้าง “อนุรักษนิยม” เท่านั้น

ทุกครั้งที่ทหารยึดอำนาจโดยอ้างว่าทำเพื่ออนุรักษนิยม ทุกครั้งจึงมีการทำลายบางอย่างที่ทหารเหม็นขี้หน้า รวมทั้งการสร้างบางอย่างโดยชนชั้นนำตามอัธยาศัย โครงการรถไฟฟ้าหลายสายจึงเกิดโดยทหารและเจ้าที่ดินทำลายชุมชนเมืองเก่าแก่หลายแห่งอย่างเต็มใจ เช่นเดียวกับหอประชุมทหารเอง

“อนุรักษนิยม” เป็นข้ออ้างที่พวก “อำนาจนิยม” ใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ระบอบการปกครองแบบกินรวบอำนาจ คนเหล่านี้รู้ว่าการยึดอำนาจแล้วตั้งพวกพ้องคุมทุกสถาบันนั้นดูสกปรกไม่ต่างจากทรราชหรือนักการเมืองบ้าอำนาจ จึงต้องใช้ “อนุรักษนิยม” เป็นผ้ากายสิทธิ์ปกปิดความจริง

 

สําหรับพรรคอนุรักษนิยมใหม่ที่ไม่มีใครรู้ว่าหมายถึงอะไร

คำตอบแรกที่ “อนุรักษนิยมใหม่” ต้องตอบคือคนกลุ่มนี้ต่างจาก “อนุรักษนิยมเก่า” อย่างไร

“อนุรักษนิยมใหม่” หมายถึง “อนุรักษนิยมกว่าเดิม” หรือไม่

และ “อนุรักษนิยมใหม่” จะหมายถึงการทำลายบางอย่างตามอัธยาศัยหรือไม่เป็น

นักวิชาการด้านการเมืองเปรียบเทียบและคนที่ตามข่าวต่างประเทศอ้างว่า “อนุรักษนิยมใหม่” เป็นกระแสที่มาแรง แต่คำว่า “มาแรง” ในที่นี้เป็นปรากฎการณ์ในยุโรป ไม่ใช่เอเชีย, อเมริกาใต้ หรือภูมิภาคอื่น และทิศทาง “อนุรักษนิยมใหม่” หมายถึง “ขวาใหม่” ซึ่งมีความหมายเฉพาะของตัวเอง

“ขวาใหม่” ในตะวันตกคือขบวนการที่คนขาวเป็นใหญ่เหนือคนเอเชียและคนดำ ศาสนาคริสต์เป็นใหญ่เหนือศาสนาอื่น ไล่แรงงานต่างชาติออกจากประเทศ ห้ามคนเอเชียมีสิทธิเรียนหนังสือเท่าเจ้าของประเทศ ค่าแรงคนต่างชาติต้องต่ำกว่าของฝรั่ง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดคือขบวนการขวาจัดปฏิกิริยา

“อนุรักษนิยมใหม่” ของไทยจะหมายถึงคนไทยเป็นใหญ่เหนือคนทุกเชื้อชาติหรือไม่, พุทธศาสนาเป็นใหญ่เหนือศาสนาอื่นหรือเปล่า, จะไล่คนงานพม่า-ลาว-เขมรกลับประเทศหรือไม่ หรือจะหมายความถึงขั้นห้ามคนสัญชาติอื่นเรียนหนังสือหรือได้ค่าแรงเท่ากับคนไทย

เมื่อใดที่คนบอกว่า “ขวาใหม่” มาแรง คำพูดนั้นคือปฏิกิริยาจาก “กระแส” ที่นักการเมืองขวาจัดทำอย่างโจ่งแจ้งในไล่คนเชื้อชาติอื่นออกจากประเทศ คลั่งชาติ เหยียดผิว เหยียดศาสนา เหยียดเพศ ฯลฯ เพราะคิดว่าจะได้คะแนนเสียง แต่ส่วนใหญ่มักจบด้วยการไม่ได้คะแนนมากอย่างที่คิดกัน

“ขวาใหม่” ในที่นี้ไม่ได้มีอะไรใหม่เลย เพราะในที่สุดสิ่งที่คนกลุ่มนี้คือการทำให้การเมืองเดินถอยหลังไปสู่ยุคที่คนไม่เท่ากัน สิทธิเลือกตั้งไม่ควรมีต่อทุกคนอย่างเสมอหน้า คนบางศาสนาและบางเชื้อชาติเป็นเทวดาเหนือคนเชื้อชาติอื่น

ซึ่งทั้งหมดนี้คือการเมืองแบบ “ก่อนสมัยใหม่” โดยตรง

 

ถ้าอนุรักษนิยมใหม่ของไทยเล่นเกมแบบ “ขวาใหม่” ในโลกตะวันตก และเห็นได้ชัดด้วยว่าปัจจุบันมีความพยายามสร้าง “กระแส” นี้ด้วยการปลุกระดมความเกลียดพม่า สิ่งที่ “อนุรักษนิยมใหม่” ของไทยกำลังทำก็คือการถีบสังคมไทยให้คลานถอยหลังไปสู่การเมืองแบบก่อนประชาธิปไตย

ในแง่นี้ “อนุรักษนิยมใหม่” คือ “อำนาจนิยมใหม่” ที่ใช้การเลือกตั้งเป็นแค่ Platform หรือ “ช่องทาง” ปลุกระดมความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อหลักการประชาธิปไตยเรื่อง “คนเท่ากัน” ทั้งหมด สื่อฝ่ายขวาและไอโอจึงทำทุกทางเพื่อโจมตีแนวคิดเรื่อง “คนเท่ากัน” ตลอดเวลาแบบที่แค่เปิดโซเชียลก็เจอ

องคาพยพเพื่อไทยสร้างวาทกรรมว่าเพื่อไทยคือพรรค “ปฏิรูป” แต่พรรคประชาชนคือพรรค “ปฏิวัติ” ทั้งที่จริงๆ พรรคประชาชนพูดเรื่องคนเท่ากันตามแนวปฏิบัติสากลจากโลกตะวันตกสู่โลกตะวันออก จุดยืนของพรรคจึงไม่ใช่เป็นการหักล้างหรือ “ปฏิวัติ” อะไรแบบเพื่อไทยกล่าวหาเลย

สำหรับคนเรียนรัฐศาสตร์ 101 หรือมีตรรกะ คนกลุ่มเดียวที่โจมตีจุดยืน “คนเท่ากัน” ว่าเป็นการปฏิวัติคือคนที่เชื่อว่า “คนไม่เท่ากัน” ซึ่งในแง่การเมืองเรียกว่าพวก “ปฏิกิริยา” ที่ต่อต้านความเปลี่ยนแปลง (Reactionism) และเป็นพันธมิตรแนบแน่นกับ “ขวาใหม่” กับ “อนุรักษนิยมใหม่”

มองในแง่ภาพรวม การเมืองไทยวันนี้ไม่ใช่เรื่องของ “ซ้าย” หรือ “ขวา” รวมทั้งไม่ใช่เรื่อง “ปฏิรูป” กับ “ปฏิวัติ”

แต่คือการเมืองระหว่างการสร้าง “ประชาธิปไตยแบบปกติ” กับขบวนการ “ปฏิปักษ์ประชาธิปไตย” ซึ่งประกอบด้วยพวกอนุรักษนิยมทั้งเก่าและใหม่ในสังคมไทย

สำหรับพรรคเพื่อไทยซึ่งครองอำนาจ โจทย์ของการเกิด “อนุรักษนิยมใหม่” คือสัญญาณว่าฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยไม่ไว้วางใจพรรคเพื่อไทย และสำหรับพรรคประชาชนซึ่งชนะเลือกตั้ง โจทย์ของการเมืองแบบนี้คือการสนธิกำลังของฝ่ายฉวยโอกาสทางการเมืองจากทุกพรรคในปัจจุบัน

 



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

อินฟลูเอนเซอร์ คืออะไร ? รู้จักอาชีพยอดฮิต พร้อมต้นแบบที่ประสบความสำเร็จ
33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (131)
เล่าถวาย ‘พระธรรมทูต’ | ธงทอง จันทรางศุ
อนุสาสน์ เทียนวรรณ บทนิยาม ใคร คนหนังสือพิมพ์ ปัญญาชน ไพร่กระฎุมพี
สถานการณ์จริงของผู้สูงอายุในประเทศไทย
ความอดทนอดกลั้น (Tolerance) : คุณธรรมพื้นฐานของโลกร่วมสมัย
พลเมืองไทย พลเมืองโลก ดูจากปัญหาแผนที่ | ธงชัย วินิจจะกูล
ความมหัศจรรย์ ของนักปั่น Tour de France
Choline มีประโยชน์ต่อสมอง แต่ทำไมเราไม่รู้จัก
2475 ที่แตกต่าง เรื่องเล่าการปฏิวัติ ในการ์ตูนและสัปปายะสภาสถาน เมื่อปีที่ 93
เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ สุดยอดนักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล
เมษา พฤษภา 2553 ประสาน 3 พลัง ปราบ ‘แดง’ 3 ป. ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย