เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

ที่ปรึกษาบ้านพิษฯ ยุค ‘ไฟแรง’ กับยุค ‘ไฟลนก้น’

15.10.2024

ข้อน่ายินดีประการหนึ่งที่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ตั้ง “ผู้สูงวัย” เป็นที่ปรึกษาด้านนโยบาย 5 ท่านคือ

ท่านเหล่านี้มีเวลาเหลือน้อย

เหมือนที่ประเทศไทยก็มีเวลาเหลือน้อยที่จะ “เปลี่ยนใหญ่” หากจะไม่ต้องการกลายเป็นประเทศอันดับ “บ๊วย” ในอาเซียน

จากประสบการณ์ส่วนตัว ยืนยันได้ว่าประโยชน์ของ “ความชรา” ประการหนึ่งคือไม่ต้องเกรงใจใคร พูดจาตรงไปตรงมาได้

โดยเฉพาะหากคนวัยสูงท่านใดได้ทำงานมายาวนาน ยึดหลักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่ต้องไปสวามิภักดิ์ต่อผู้มีอำนาจหรือนายทุนกลุ่มใด ก็ย่อมจะให้ความคิดเห็นได้อย่างตรงไปตรงมา

ไม่ต้องเกรงใจอิทธิพลของกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มทุนหรือผลประโยชน์อันไม่ชอบมาพากล

ผมเชื่อว่าทั้ง “5 อรหันต์” ที่นายกฯ ตั้งเป็นที่ปรึกษานโยบายนั้นมีคุณสมบัติเช่นนั้น

จึงมีความยินดีเป็นพิเศษ เพราะจะได้ยินได้ฟังข้อเสนอที่รัฐบาลคุณแพทองธารต้องแก้ไขอย่างจริงจัง ไม่ต้องเกรงใจกลุ่มผลประโยชน์อันไม่ชอบมาพากล

นายกฯ แพทองธารก็ได้บอกกับผู้อาวุโสใกล้ๆ รุ่นพ่อทั้ง 5 ว่าขอให้เสนอความเห็นอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องเกรงใจนายกฯ

หากไม่เห็นด้วยกับนายกฯ ก็ให้บอก

เพราะนายกฯ บอกว่าต้องการได้คำแนะนำที่แก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองได้อย่างแท้จริง

ไม่แน่ใจว่านายกฯ อุ๊งอิ๊งบอกที่ปรึกษาคณะนี้ด้วยหรือเปล่าว่านอกจากจะไม่ต้องเกรงใจนายกฯ แล้ว ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าคุณพ่อของนายกฯ (อีกนัยหนึ่งคือคุณทักษิณ ชินวัตร) จะมีความเห็นสอดคล้องต้องกันกับที่ปรึกษาหรือไม่

ข้อนี้มีความสำคัญไม่น้อยในวัฒนธรรมแบบไทยๆ

เพราะหากที่ปรึกษาไม่ต้องเกรงใจนายกฯ แต่ยังต้องคอยระแวดระวังว่าหากให้คำแนะนำอะไรไปแล้ว บิดาของนายกฯ มีความเห็นพ้องด้วยหรือไม่

เพราะคุณพ่อนายกฯ คนนี้ไม่ใช่คุณพ่อธรรมดา

หากแต่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนสำคัญเสียด้วย

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ทั้ง 5 อรหันต์คณะนี้ต่างก็เคยทำงานให้กับอดีตนายกฯ คนนี้เสียด้วย

 

ความละเอียดอ่อนก็ย่อมจะปรากฏให้เห็น…หาก “คณะบ้านพิษฯ” ชุดใหม่นี้ไม่ได้รับไฟเขียวจาก “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ให้ลุยได้เต็มที่

เพราะบทบาทหน้าที่ของคณะนี้ทำงานให้นายกรัฐมนตรี ไม่ได้รับใช้คุณทักษิณเหมือนแก่ก่อนเก่าแล้ว

อีกทั้ง 5 อรหันต์นี้ยังอาจจะต้องปรับตัวครั้งใหญ่เมื่อต้องมารับหน้าที่ใหม่นี้

เพราะตอนที่เคยให้คำปรึกษาคุณทักษิณเมื่อกว่า 20 ปีก่อนนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองเป็นคนละเรื่องกับวันนี้โดยสิ้นเชิง

หากยังคิดและเสนอแบบเดิมก็คงจะถูกเสียดสีว่าเป็นลักษณะ “คนแก่ไม่อยู่ส่วนคนแก่”

เหมือนที่ผมถูกสั่งสอนเป็นประจำจากผู้ที่ไม่มีความปรารถนาดีต่อบุคคลที่ได้ชื่อว่า “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน”

แม้จะทำให้ผู้มีอายุต้องรู้สึกขุ่นเคืองในบางอารมณ์บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าข้อวิพากษ์เช่นนี้มีส่วนของความเป็นจริงไม่น้อยเช่นกัน

สำหรับตัวเราเองและผู้อื่นที่เราไม่ชื่นชอบ

 

อีกประเด็นที่ทำให้คณะที่ปรึกษาชุดนี้ต้องพินิจพิเคราะห์ก็ตรงที่มีการเปรียบเทียบกับ “ที่ปรึกษาบ้านพิษฯ” ของอดีตนายกฯ ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อกว่า 35 ปีก่อน

ยุคนั้นประธานคณะที่ปรึกษาก็คือคุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เหมือนกัน

แต่ในทีมนั้นมีนักวิชาการไฟแรงแห่งยุคมากมายหลายคน อาทิ

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร บวรศักดิ์ อุวรรณโณ มือกฎหมายคนรุ่นใหม่ (ขณะนั้น) สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ณรงค์ชัย อัครเศรณี และชวนชัย อัชนันท์

ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังมีชีวิตอยู่ในแวดวงต่างๆ

ความเหมือนกับความต่างระหว่างสองทีมที่ปรึกษา “บ้านพิษฯ” จึงมีความหมายสำหรับผู้สนใจการเมืองไทยทุกยุคทุกสมัย

เรื่องความเข้มข้นด้านมันสมองคงไม่ต้องสงสัยว่ามีพอๆ กัน

แต่เรื่องความกระตือรือร้นเพื่อ “สร้างความเปลี่ยนแปลง” ให้กับสังคมไทยนั้นยุคนั้นต้องถือว่าเต็มพิกัด

เพราะอายุหนึ่ง ความท้าทายอีกหนึ่ง และการได้โอกาสนำเสนอ (และหลายส่วนเข้าไปดำเนินการแทนรัฐมนตรีบางกระทรวงด้วย) นโยบายที่พลิกประเทศไทยให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง

หนึ่งในแนวทางที่โด่งดังหนีไม่พ้นเรื่อง “แปรสนามรบเป็นสนามการค้า”

ส่วน 5 อรหันต์แห่งบ้านพิษฯ วันนี้มีอายุมากกว่ายุคนั้นมากมายแน่นอน

คำว่า “ไฟแรง” ก็อาจจะฟังดูน่าตื่นเต้นเกินไปหน่อย

แต่ดูเหมือนหนึ่งใน 5 ท่านอย่างคุณสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี จะออกมายืนยันว่าท่านผู้อาวุโสเหล่านี้ “ไฟยังแรง” เพราะยังติดต่อข่าวสารบ้านเมืองอยู่ตลอด

กระนั้นก็ตาม คงจะไม่สามารถบังคับให้ผู้สังเกตการณ์ที่จะตั้งคำถามว่าการ “ติดตามข่าวสาร” กับการ “กล้าฉีกกรอบ” การเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลวันนี้นั้นเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่า

บางคนอาจจะเปรียบเทียบระหว่าง “ไฟแรง” กับ “ไฟลนก้น” ก็ได้

ด้านหนึ่งอาจจะมองว่าเป็นการปรามาสคนแก่คนเฒ่ารุ่นเดียวกับผม

แต่อีกด้านหนึ่ง คนวัยนี้ผ่านโลกมายาวนานที่จะยอมรับความจริงว่า หลายๆ เรื่องที่ต้องปฏิรูปกันอย่างจริงจังรุนแรงนั้นควรจะทำมานานแล้ว แต่ไม่มีใครทำ

วันนี้จึงกลายเป็นเรื่องของ “ไฟลนก้น”

อย่างนี้พอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นกันเลยทีเดียว

เพราะความหมายก็คือว่าเมื่อปล่อยให้ปัญหาชาติบ้านเมืองคาราคาซังกันมายาวนานเช่นนี้ และถึงคราวจะต้องอาศัยผู้แก่ผู้เฒ่ามาช่วยคิดแก้วิกฤตแบบขวนตัวอย่างนี้ก็ต้องทำกันในลักษณะ

ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาเป็นแน่นอน

 

จะว่าไปแล้ว คณะที่ปรึกษาบ้านพิษฯ สมัยชาติชายนั้นเสมือนเป็นคนรุ่นลูกระดมสมองช่วยแนะนำนายกฯ ที่เป็นรุ่นพ่อ

มาวันนี้ คณะผู้อาวุโสที่นำโดยชายเจ้าของหูกระต่ายวัย 80 ก็กำลังทำหน้าที่ “คนรุ่นพ่อ” มาเสนอความคิดความอ่านเพื่อจะผลักดันนโยบายของนายกฯ ที่เป็นรุ่นลูก

ยุคสมัยคุณชาติชายนั้น ที่ปรึกษาคนรุ่นใหม่ถูกมองว่านอกจากจะเสนอแนวนโยบายต่อนายกฯ แล้ว นักวิชาการ “ยังเติร์ก” เหล่านั้นยังพยายามสอดแทรกเข้าไปถึงกระทรวงทบวงกรมต่างๆ

เพื่อให้แน่ใจว่านโยบายที่เสนอนายกฯ นั้นจะไม่ถูกเก็บเข้าลิ้นชักเพราะนักการเมืองบางคนไม่เห็นด้วย

หรือในกรณีที่รัฐมนตรีบางกระทรวงเห็นว่าบรรดาที่ปรึกษารุ่นใหม่เหล่านี้กำลังเสนอในสิ่งที่ล้ำหน้าเกินเหตุ

อีกทั้งอาจจะไปมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของนักการเมืองเอง

จึงเกิดอาการเสียดสีกันขึ้นในบางกรณี

วันนี้ คณะที่ปรึกษาของนายกฯ แพทองธารมีบารมีไม่น้อยเพราะได้ชื่อว่ามีความคุ้นเคยกับทั้งนายกฯ (ที่เรียกหลายๆ ท่านว่า “คุณอา” อย่างสนิทสนม) และคุณพ่อของนายกฯ

จึงมีคำถามว่านอกจากจะเป็น “เสนอ” นโยบายให้นายกฯ แล้ว ที่ปรึกษาคณะนี้จะใช้วิธีการอันนุ่มนวลและแนบเนียนเพื่อให้รัฐมนตรีทั้งหลายทั้งปวงยอมทำตามข้อเสนอชุดต่างๆ ของตนเพียงใด

หากนายกฯ อุ๊งอิ๊งยังมีประสบการณ์น้อยในการสั่งการและกำกับให้รัฐมนตรีต้องทำตามนโยบายที่คณะที่ปรึกษาเสนอ ตัวผู้อาวุโสเองจะมีวิธีการอันใดที่จะให้คณะรัฐมนตรีในภาพรวมขับเคลื่อนไปในทิศทางที่มีความจำเป็นหรือไม่

เพราะหากฟังคุณสุรพงษ์พูดกับสื่อก็จะเห็นได้ถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในรัฐบาล

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่

หรือการผลักดันให้เกิด Digital Transformation ครั้งสำคัญ

หรือการ “พลิกโฉม” ประเทศไทยอย่างจริงจัง

ล้วนแล้วแต่ทำไม่ได้หากรัฐมนตรีจำนวนไม่น้อยไม่ได้มาเพราะความรู้ความสามารถ หากแต่มาจากสูตรการแบ่งโควต้าของแต่ละพรรค

 

คุณสุรพงษ์บอกกับบางสื่อว่าการปฏิรูประบบราชการเป็นเรื่องใหญ่

และจะเกิดขึ้นเร็วภายในรัฐบาลนี้แน่นอน

และยังบอกว่าควรจะเกิดกระทรวง Climate Change และกระทรวงความมั่นคง

เพราะมิติทางด้านโลกร้อน มิติด้านความมั่นคง เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

ต้องควบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องป้องกันและแก้ไขปัญหาใหญ่เหล่านี้

นายสุรพงษ์บอกว่า ประเทศไทยเปลี่ยนโครงสร้างกระทรวงทบวงกรม ครั้งหลังสุดปี 2545

“ผ่านมา 22 ปี หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ไคลเมท เชนจ์-เทคโนโลยีมันเปลี่ยนไปมาก การควบรวมหน่วยงานอาจเกิดขึ้น”

หน่วยงานใหม่ที่เกิดขึ้นต้องตอบรับภารกิจที่ท้าทายใหม่ของประเทศ และมนุษยชาติ

การปฏิรูปราชการก็เป็นเรื่องเร่งด่วน

แต่ต้องเชิญคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมา

เพราะครั้งนี้ถ้าทำไม่ใช่แค่ Digital Transformation ของระบบราชการเท่านั้น ต้องดูในเชิงโครงสร้างระบบราชการด้วย

คุณสุรพงษ์บอกว่า ครั้งนี้บ้านพิษณุโลกจะเสนอนายกฯ หากเห็นด้วยก็นำไปสู่การขับเคลื่อน

“โดยเราไม่ได้เสนอว่าควรทำอะไรอย่างเดียว เตรียมเสนอว่าทำอย่างไรให้สำเร็จ คีย์ตรงนี้สำคัญมาก”

นี่แหละ เห็นฤทธิ์ของ “ไฟลนก้น” จนทำให้คนแก่ “ไฟแรง” อย่างเห็นได้ชัดหรือยัง?



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ลิซ่า ชี้ อดีตนายกฯ ขึ้นเวที ไม่ใช่การ “ผ่าทางตัน” ให้กับประเทศไทย แต่กลับเป็นการ “ตอกลิ่มประเทศ” ให้จมอยู่กับวังวนของปัญหาเดิม ๆ ยึดติดกับตัวบุคคลมากกว่าระบอบ
คำศัพท์พื้นฐานในโลกของฟอเร็กซ์ที่ต้องรู้ก่อนเทรด
พล.ท.ภราดร นำทัพ กลุ่มสวัสดีคนไทย แสดงความคิดเห็นเพื่อตั้งหมุดหมาย ที่ “ 100 ปี ประชาธิปไตย”
คาดเดาไม่ออก บอกไม่ถูก | ลึกแต่ไม่ลับ
เริ่มแล้ว! “Thai–Chinese Golden Fest 2025 เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย–จีน” เทศกาลประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญแห่งปี
ฟังเสียง ‘เยาวชน’ | ปราปต์ บุนปาน
“One Plan” โมเดลใหม่ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกพื้นที่
ไม้ดัดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร | กวีกระวาด : สิริวตี
ตลาด..ชีวิตและความหวัง | เรื่องสั้น : มีนา ฟ้าศุกร์
ทำเล
‘ภูมิธรรม’ จัดแถวมหาดไทย ล้างบาง ‘สิงห์น้ำเงิน’ ประเดิมย้าย 2 อธิบดีเข้ากรุ จับตา ‘เขากระโดง’ เปิดแผล ‘ปราสาทสายฟ้า’
ดาวกับดวงวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568