เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

Bitcoin และ Blockchain ในภาครัฐ : การปฏิวัติหรือความเสี่ยง?

30.01.2025

บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ | ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร

 

Bitcoin และ Blockchain ในภาครัฐ

: การปฏิวัติหรือความเสี่ยง?

 

ในโลกแห่งเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ มีนวัตกรรมเพียงไม่กี่อย่างที่สร้างความสนใจ และความคิดเห็นที่แตกแยกได้เท่ากับ Bitcoin

นวัตกรรมคริปโตที่เริ่มต้นจากการทดลองโดยบุคคลนิรนามในปี 2009

เพื่อแก้ปัญหาการพึ่งพาตัวกลางในระบบการเงินแบบรวมศูนย์ ไปสู่ระบบที่ทำงานแบบกระจายศูนย์

โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางและการควบคุมจากศูนย์กลาง

ต้องแยกเรื่องของ Bitcoin และ Blockchain เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง Bitcoin ออกจากกันแล้วค่อยพูดทีละเรื่อง

Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ของรัฐบาล

: ความหวังและความเสี่ยง

ที่ผ่านๆ มาประเทศที่ยอมรับการใช้บิตคอยน์มักจะเป็นประเทศที่ค่าเงินอ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อสูง หรือไม่มีสกุลเงินของตนเอง เพราะได้ประโยชน์จากการถือบิตคอยน์มากกว่าประเทศที่ค่าเงินมีเสถียรภาพ

แต่เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลหลายประเทศเริ่มมีท่าทีเป็นมิตรกับคริปโตมากขึ้น

ได้มีการนำเรื่องบิตคอยน์และคริปโตเข้ามาสู่การพิจารณาในระดับรัฐบาล โดยคาดหวังการสร้างประสิทธิภาพและการเติบโตในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล

หลายประเทศกำลังพูดถึงการยอมรับบิตคอยน์เข้าไปในทุนสำรองระหว่างประเทศ

หลังจากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมากล่าวสนับสนุนให้บิตคอยน์เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองบิตคอยน์เชิงกลยุทธ์

ซึ่งในปี 2024 วุฒิสมาชิกสหรัฐก็ได้มีการนำเสนอร่างกฎหมาย (อยู่ระหว่างพิจารณา) เกี่ยวกับการจัดหา ครอบครอง และเก็บรักษา Bitcoin รวมทั้งกำหนดให้รัฐบาลจัดซื้อบิตคอยน์จำนวน 1 ล้านบิตคอยน์ตลอดเวลา 5 ปี มาเก็บไว้ในทุนสำรองบิตคอยน์เชิงกลยุทธ์

สวิตเซอร์แลนด์ได้มีการรณรงค์โดยกลุ่มคนที่ต้องการให้ธนาคารกลางสวิสเพิ่มบิตคอยน์ในสินทรัพย์ถือครองในทุนสำรองของชาติ

ซึ่งหากรวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนได้ 1 แสนคนก็จะทำให้มีการทำประชาพิจารณ์เพื่อตำไปสู่กระบวนการทางกฎหมายต่อไป

ในทำนองเดียวกัน บราซิล โปแลนด์ และฮ่องกง ก็กำลังมีการเสนอร่างกฎหมายเพื่อให้เพิ่มบิตคอยน์เข้าไปในทุนสำรอง

หากดูตัวอย่างจากเอลซัลวาดอร์ ประเทศที่ได้ก้าวสู่การใช้ Bitcoin อย่างเต็มรูปแบบไปแล้ว ซึ่งผ่านกฎหมายให้ Bitcoin สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายในปี 2021 และเริ่มสะสมเข้าไปเป็นสินทรัพย์สำรองเชิงกลยุทธ์ของประเทศ

ล่าสุด เอลซัลวาดอร์ประสบปัญหาและได้ขอกู้เงิน 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก IMF และยอมรับเงื่อนไขการปฏิรูปกฎหมายให้เอกชนเลือกที่จะไม่รับชำระบิตคอยน์ได้โดยสมัครใจ

ส่วนภาครัฐจะจำกัดการซื้อและการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ด้วย

ก็เหมือนกับว่า เอลซัลวาดอร์กำลังย้อนหลังกลับถนนบิตคอยน์ที่เดินไป

ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร

ข้อดีข้อเสียของ Bitcoin

เป็นสินทรัพย์ในทุนสำรองของประเทศ

บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ประเภทใหม่ที่อาจช่วยกระจายความเสี่ยงด้านราคาได้มากขึ้นเพราะราคาเคลื่อนไหวโดยไม่สอดคล้องกับราคาทองคำ ราคาเงินสกุลใดสกุลหนึ่ง ราคาพันธบัตร ราคาหุ้น และช่วยลดการพึ่งพิงเงินดอลลาร์สหรัฐ

การที่บิตคอย์มีจำนวนจำกัดสูงสุดที่ 21 ล้านบิตคอยน์ ทำให้ถูกเปรียบเสมือนทองคำดิจิทัล ซึ่งปราศจากปัญหาเงินเฟ้อจากการถือครองสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินที่อาจถูกพิมพ์ออกมาได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ข้อสำคัญอีกข้อคือ บิตคอยน์อยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาลประเทศใดๆ ทำให้การถือครองบิตคอยน์ปลอดภัยจากการถูกคว่ำบาตรหรือแทรกแซงโดยอำนาจรัฐของประเทศอื่น

ข้อเสียที่อาจทำให้บิตคอยน์ไม่เหมาะที่จะเป็นสินทรัพย์ในทุนสำรองของประเทศ คือ ราคาบิตคอยน์นั้นผันผวนมาก ทำให้ทุนสำรองของประเทศไม่สามารถถือบิตคอยน์ในสัดส่วนที่สูงเพราะการลดกะทันหันของบิตคอยน์อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของชาติได้เป็นอย่างมาก

นอกจากนั้น ยังมีปัญหาทางเทคนิคอื่นๆ เช่น เครือข่ายบิตคอยน์ยังไม่เร็วพอที่จะรองรับการทำธุรกรรมจำนวนมากๆ พร้อมๆ กัน

ปัญหาสภาพคล่องของตลาด เทียบกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิมเช่น ทองคำ หรือพันธบัตร แล้วตลาดบิตคอยน์ยังไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะรองรับปริมาณธุรกรรมมหาศาลได้

และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม กลไกการทำงานของบิตคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล ซึ่งอาจขัดแย้งกับเป้าหมายทางด้านภูมิอากาศและความยั่งยืนของชาติได้

ยิ่งไปกว่านั้น การเก็บรักษาบิตคอยน์มูลค่ามหาศาลไว้ในทุนสำรองนั้นมีความเสี่ยงจากการโดนจารกรรมจากแฮ็กเกอร์หรือทุจริตโดยคนใน ทำให้ทุนสำรองหายไปหมดได้ในชั่วพริบตา

ทำให้ต้องมีมาตรการควบคุมความเสี่ยงและรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์อย่างเข้มงวด

 

ศักยภาพแห่งการเปลี่ยนแปลง

ของ Blockchain

ในขณะที่การยอมรับบิตคอยน์ยังเป็นเรื่องถกเถียง

บล็อกเชนซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังกลับได้รับการยอมรับในวงกว้าง

ด้วยประโยชน์อันเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องการไม่ต้องมีตัวกลาง ความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือ ทำให้ได้รับความสนใจจากรัฐบาลทั่วโลก

เอสโตเนีย ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นผู้นำด้านดิจิทัล รัฐบาลเอสโตเนียนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในหลายด้านและได้แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนของเอสโตเนียช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณะและสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน ตั้งแต่ระบบดิจิทัลไอดี ระบบจัดการข้อมูลสุขภาพเก็บประวัติทางการแพทย์ ระบบลงคะแนนทางอิเล็กทรอนิกส์ ระบบข้อมูลธุรกิจและภาษี ระบบทะเบียนที่ดินและธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์

ยังมีอีกหลายประเทศที่นำบล็อกเชนมาใช้ในบริการภาครัฐ เช่น ยูเออี ฟินแลนด์ ใช้บล็อกเชนในระบบทะเบียนที่ดิน

และสิงคโปร์ ใช้บล็อกเชนในระบบข้อมูลสุขภาพประชาชน

นอกจากนี้ ยังมีการทดลองนำบล็อกเชนมาใช้ในโลกการเงินและการทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศอย่างแพร่หลาย

สำหรับประเทศไทย แม้แนวคิดเรื่องการนำบล็อกเชนมาใช้ในภาครัฐอาจยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น

แต่ความสนใจเทคโนโลยีนี้ก็กำลังเติบโตขึ้นมาโดยตลอดโดยเฉพาะในภาคเอกชนและภาคการเงิน ได้มีการพัฒนานำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้อย่างประสบความสำเร็จในหลายโครงการ

เช่น NDID ระบบการยืนยันตัวตนดิจิทัลที่ผู้ใช้บริการสามารถยืนยันตัวตนทางออนไลน์ได้สะดวกและปลอดภัย

และ e-LG ระบบออกจดหมายค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทดลองการพัฒนาเงินตราดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) โดยนำบล็อกเชนมาใช้ตั้งแต่โครงการอินทนนท์เฟสแรก เพื่อทดลองการใช้ CBDC ทำธุรกรรมการเงินระหว่างสถาบันการเงิน จนไปถึงการทดลองการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนทำธุรกรรมข้ามพรหมแดน ร่วมกับ จีน ฮ่องกง และยูเออี ด้วย CBDC 4 สกุลเงิน เพื่อพัฒนาระบบชำระเงินให้มีความประสิทธิภาพและมากขึ้น

มีการพูดถึงการนำบล็อกเชนมาใช้ในบริการสาธารณะของไทยในหลายด้าน ซึ่งไทยสามารถดูตัวอย่างจากกรณีที่ประสบความสำเร็จจากต่างประเทศได้มากมาย

เช่น การจัดการทะเบียนโฉนดที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสามารถลดปัญหาการปลอมแปลงเอกสารและเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการซื้อขาย

การจัดการข้อมูลสุขภาพประชาชนและสวัสดิการสาธารณสุข เพื่อป้องกันการทุจริตและการใช้งบประมาณซ้ำซ้อน

การจัดการด้านการศึกษาเพื่อให้การตรวจสอบคุณวุฒิน่าเชื่อถือ ระเบียนการศึกษา

การให้ทุนการศึกษาและสวัสดิการไม่ทับซ้อน

นอกจากนี้ บล็อกเชนยังสามารถนำมาใช้ในการบริหารจัดการสวัสดิการสังคมต่างๆ โดยผูกเงื่อนไขไว้กับสมาร์ตคอนแทร็ก เช่น เมื่อแจ้งเกิดบุตรก็ได้รับสวัสดิการเด็กแรกเกิดทันที

บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีสำคัญอันหนึ่งที่จะทำให้บริการภาครัฐมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

บทสรุป : ดาบสองคม

นวัตกรรมบิตคอยน์ และเทคโนโลยีบล็อกเชน มีศักยภาพอย่างมากสำหรับรัฐบาลที่ยินดีจะเผชิญหน้ากับความซับซ้อนและผลกระทบที่ตามมา

การตัดสินใจนี้ขึ้นอยู่กับเราและเราต้องทำให้ถูกต้อง

สำหรับบล็อกเชนนั้นก็อาจจะไม่เหมาะจะใช้กับทุกเรื่อง

แต่เรื่องไหนที่ต้องการความโปร่งใส การเชื่อถือยอมรับจากประชาชนก็ควรนำมาใช้

ในขณะที่การถือบิตคอยน์อาจมีประโยชน์ แต่ความเสี่ยงที่ตามมาก็ไม่สามารถมองข้ามได้เช่นกัน การนำบิตคอยน์มาใช้เป็นสินทรัพย์ในทุนสำรองของชาติยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาก เนื่องจากความผันผวนของราคาและการไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง

การมีบิตคอยน์ในสัดส่วนที่มากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของชาติได้ ในอนาคตหากถึงวันที่ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ถือบิตคอยน์ในทุนสำรองกันมากขึ้น ความผันผวนของราคาบิตคอยน์อาจจะลดลงและทำให้สภาพคล่องของบิตคอยน์ในตลาดมีมากขึ้น ความน่าสนใจที่จะมีบิตคอยน์อยู่ในทุนสำรองของชาติก็อาจมีมากขึ้น

สำหรับบิตคอยน์ซึ่งมีภาพลักษณ์ของการถูกใช้ในเรื่องไม่ดีหรืออาชญากรรม เพื่อปกปิดตัวตน เป็นที่น่าสนใจว่าประเทศไทยยังไม่มีการยึดอายัดบิตคอยน์ หรือคริปโตที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมมาเป็นสมบัติแผ่นดินเลย

ในขณะที่สหรัฐได้มีการยึดบิตคอยน์จากการกระทำผิดถึง 207,000 บิตคอยน์ มูลค่ากว่า 7.12 แสนล้านบาทไว้เป็นสมบัติแผ่นดินแล้ว เป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่าบิตคอยน์หรือคริปโตเหล่านี้หายไปไหน

ก่อนที่จะถือบิตคอยน์ในทุนสำรองสิ่งที่รัฐบาลไทยควรเริ่มทำสำหรับบิตคอยน์และคริปโตอาจจะเป็นการทบทวนแก้ไขกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบต่างๆ ให้รัฐสามารถยึด อายัด ครอบครองบิตคอยน์และคริปโตจากอาชญากรรมเหล่านี้ให้ได้เช่นกัน

ในขณะที่เรายืนอยู่บนจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติทางเทคโนโลยีนี้ ความท้าทายสำหรับรัฐบาลคือการใช้ศักยภาพของ Bitcoin และ Blockchain โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของข้อเสีย

หากทำได้ถูกต้อง เทคโนโลยีเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงการปกครองและการเงินให้ดีขึ้น

หากทำผิดพลาด อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการสูญเสียความไว้วางใจจากประชาชน

การตัดสินใจนี้ขึ้นอยู่กับเรา และเราต้องทำให้ถูกต้อง

 

หมายเหตุ ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร เป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อดีตพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย รับผิดชอบโครงการ digital currency project โครงการ cross border CBDC project หรือ mBridge ธนาคารแห่งประเทศไทย



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

สำรวจเมือง ‘จมบาดาล’
เหรียญพระสุนทรีวาณี มงคล ‘เจ้าคุณศรี (สนธิ์)’ วัดสุทัศนเทพวราราม
กระดอเย็น
ความฝัน ความรัก ของ ‘โชต้า’ จากกอนโดมาร์ถึงลิเวอร์พูล
เกร็ดน่ารู้ ‘ที่สุด’ กีฬาซีเกมส์ ไทยนับถอยหลังเป็นเจ้าภาพ
ตลาดซื้อขายที่ดินเงียบ
ผ่าสเป๊ก ‘Volvo EX30 Cross Country’ EV ตัวเล็กจอมลุย-ออปชั่นเทียบรุ่นใหญ่
จดหมาย
เดินตามดาว | ศรินทิรา
สลัดทูน่าอะโวคาโด
ดาวกับดวง วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม 2568
ขอแสดงความนับถือ