

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/
ฮั้ว ส.ว.กับดีลลับทำลายประชาธิปไตย
ฮั้วหมายถึงรวมหัวกันโกงทั้งที่โกงตรงๆ และโกงแบบทำให้คนอื่นไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยปกติคนที่ฮั้วมักเป็นนักธุรกิจขี้ฉ้อหรือพ่อค้าขี้โกงที่รวมหัวขายของให้รัฐแบบต้มตุ๋น
แต่ทุกวันนี้คำว่า “ฮั้ว” กลับเป็นคำที่ใช้กันว่อนประเทศเวลาพูดเรื่องการเมืองไทยจนทุกคนเข้าใจว่าหมายถึงอะไร
นอกจากคำว่า “ฮั้ว” ที่พูดกันสนั่นประเทศจนเกิดคำว่า “ฮั้ว ส.ว.” อีกคำที่เกิดขึ้นในยุคที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล ก็คือคำว่า “ดีลลับ” ซึ่งฟังแล้วทุกคนเข้าใจว่าหมายถึงอะไรด้วยเหมือนกัน
นั่นก็คือการตั้งรัฐบาลที่มีข้อตกลงลับเรื่องผลประโยชน์บางอย่างซึ่งไม่สามารถเปิดเผยต่อประชาชน
ผมไม่ได้พูดเรื่อง “ฮั้ว” หรือ “ดีลลับ” เพื่อบอกว่าการเมืองไทยยุคนี้สกปรกกว่าทุกรัฐบาล ข้อหาแบบนั้นแรงไป การประเมินคุณค่าของรัฐบาลขึ้นอยู่กับวัดวิธีไหนและวัดอย่างไร
แต่การที่ “ฮั้ว” และ “ดีลลับ” เป็นคำที่เข้าใจกันไปทั่วนั้นสะท้อนความไม่ปกติของประเทศอย่างแน่นอน
“ดีลลับ” พูดถึงการตั้งรัฐบาลที่พรรคชนะเลือกตั้งไม่ได้ตั้งรัฐบาล หัวหน้าพรรคที่แพ้เลือกตั้งได้เป็นนายกฯ และเสียงโหวตนายกฯ มาจาก ส.ว.ที่ประชาชนไม่ได้เลือก สังคมไหนที่รัฐบาลเข้าสู่อำนาจรัฐด้วย “ดีลลับ” สังคมนั้นย่อมเกิดการโกงอำนาจอย่างถูกกติกาซึ่งยิ่งตอกย้ำว่ากติกาคือกติโกง
หัวหน้าพรรคประชาชนพูดว่าการเข้าสู่อำนาจรัฐในประเทศไทยต้องมี “ใบอนุญาต” หรือ “ตั๋ว” สองใบ
ใบแรกคือใบที่ประชาชนเลือกตั้งว่าอยากให้ใครเป็นนายกฯ และรัฐบาล
ส่วนใบที่สองคือใบอนุญาตว่าใครจะเป็นนายกฯ จริงๆ ซึ่งอาจไม่ตรงกับใบแรก และนั่นคือต้นตอของดีลลับในปัจจุบัน
ขณะที่ “ดีลลับ” ทำกันอย่างหลบๆ ซ่อนๆ แต่ให้ผลลัพธ์ที่ประเจิดประเจ้อจนคนไทยตาสว่างว่าใครเป็นใคร ใครดีลกับใคร ใครดีลอะไร และใครที่ร่วมกันเหยียบหัวประชาชน “ฮั้ว ส.ว.” ซึ่งควรจะเป็นเรื่องลับเหมือนการฮั้วแบบอื่นๆ กลับประเจิดประเจ้อราวกับจะโชว์ว่าใครใหญ่กว่าทุกคน
“ฮั้ว ส.ว.” ไม่เหมือนกับ “ดีลลับ” เพราะตัวละครเกี่ยวข้องเยอะ กระบวนการกินเวลายาวนาน เหตุการณ์ฮั้วเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ แถมบุคคลที่ฮั้วมีเรื่องอื้อฉาวเยอะไปหมด
ความโจ่งแจ้งของการฮั้วจึงจุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวางที่ยิ่งนานยิ่งพุ่งแรงขึ้นจนปัจจุบัน
ผมอยากจะย้ำว่า “ฮั้ว” และ “ดีลลับ” เป็นปรากฏการณ์ที่เฟื่องฟูในยุครัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งผู้ปกป้องหลอกว่าเป็น “รัฐธรรมนูญปราบโกง” ทั้งที่คำนี้ไม่มีในรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ใช้รัฐธรรมนูญนี้ก็ไม่มีหลักฐานว่าการโกงลดลง และรัฐบาลในรัฐธรรมนูญนี้ก็ไม่มีวาระปราบโกงเลย
เฉพาะในเดือนที่ผ่านมา ปัญหาเรื่องโกงไม่โกงก็พัวพันคนสำคัญของรัฐบาลชุดนี้เยอะไปหมด มีเรื่องอัลไพน์ มีเรื่องเขาใหญ่ มีเรื่องเขากระโดง
และทุกเรื่องเหมือนกันที่หน่วยงานราชการและรัฐมนตรีแทบไม่ทำอะไร นอกจากต่อรองและซื้อเวลาให้รัฐบาล
เริ่มต้นที่เรื่องคดีฮั้ว ส.ว.ก่อน
ถ้าใครเชื่อว่าประเทศควรมี ส.ว.เพื่อทำหน้าที่ให้ผู้รู้มาช่วยกลั่นกรองกฎหมายให้ประชาชน สารรูป ส.ว.ในรัฐธรรมนูญ 2560 คือหลักฐานว่า ส.ว.ไม่มีความจำเป็นต่อประเทศอีก เพราะ ส.ว.ทั้งในยุคคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา และยุครัฐบาลนี้ล้วนเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจตั้ง ส.ว.จนได้คนสภาพอย่างที่เห็นกัน
มักเข้าใจผิดว่า ส.ว.ต้องเป็นกลางทางการเมืองจนต้องไม่มีจุดยืนการเมือง แต่ที่จริงหลักการคือ ส.ว.ต้องเป็นกลางจากพรรคการเมือง ส่วนความเป็นกลางทางการเมืองนั้นพิสูจน์ได้ยาก แต่ปัญหาคือ ส.ว.ทั้งสองชุดในรัฐธรรมนูญนี้ไม่เคยเป็นกลางจากพรรคการเมืองและเอียงข้างการเมืองชัดเหลือเกิน
ส.ว.ชุดนี้มีฉายาว่า “ส.ว.สีน้ำเงิน” ซึ่งมาจากข้อเท็จจริงที่การเลือก ส.ว.มีการฮั้ว หรือ “จัดตั้ง” จนหลักฐานทุกอย่างชัดเจนตั้งแต่ขนคน, บล็อกโหวต, แต่งตัวสีเดียวกันหมด, ผู้สมัครจำนวนมากคุณสมบัติไม่ตรงตามกฎหมาย รวมทั้งการแสดงออกที่ประเจิดประเจ้อว่าใกล้ชิดพรรคสีน้ำเงิน
พรรคสีน้ำเงินจะทำงานดีหรือไม่เป็นเรื่องที่ต่างคนต่างคิดไม่เหมือนกัน แต่ที่ไม่มีอะไรเถียงกันคือสังคมเชื่อถือพรรคสีน้ำเงินน้อยจนคะแนนเลือกตั้งระดับบัญชีรายชื่อของพรรคต่ำมาก ส.ว.ที่ได้อำนาจด้วยการฮั้วแล้วมีพรรคคุมอีกทีจึงมีสภาพเหมือนเตี้ยอุ้มค่อมที่สังคมไม่มีทางยอมรับได้เลย
ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนไทยจำต้องยอมรับ เพราะทหารหลอกว่าจะได้คนที่เก่งและดี แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ ส.ว.ส่วนใหญ่ไม่เก่ง ที่มาไม่ดี และไม่มีแม้ความเป็นตัวของตัวเองในการทำหน้าที่ ความน่าเชื่อถือของ ส.ว.จึงน้อยจนออกนอกอาคารวุฒิสภาแล้วอาจไม่มีใครเชื่อถือเลย
รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้ ส.ว.มีอำนาจเลือกบุคคลเป็นองค์กรอิสระและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ส.ว.สีน้ำเงินจึงเป็นอำนาจสีเทาที่สามารถเลือกได้ว่าใครเป็นบุคลากรในองค์กรอิสระที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม นั่นเท่ากับว่าใครคุม ส.ว.กลุ่มนี้ก็มีอิทธิพลเหนือองค์กรกระบวนการยุติธรรมโดยปริยาย
พูดตรงๆ ที่ผ่านมามีข่าวว่าบุคคลผู้ถูกเสนอชื่อเป็นบุคลากรกระบวนการยุติธรรมในองค์กรตามรัฐธรรมนูญถูกเชิญไปพบกับบุคคลสำคัญที่อยู่เหนือ ส.ว. และถึงแม้จะไม่เป็นที่แน่ชัดผู้ถูกเชิญไปตามคำเชิญหรือไม่
เหตุการณ์นี้ก็สะท้อนถึงอิทธิพลที่คนบางคนมีเหนือ ส.ว.และอาจมีเหนือกระบวนการยุติธรรมโดยปริยาย
เห็นได้ชัดว่า ส.ว.สีน้ำเงินทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของระบบการเมือง เพราะไม่ว่าจะเรียกระบบนี้ว่าอะไร พรรคหรือคณะบุคคลก็ไม่มีสิทธิอยู่เหนือฝ่ายนิติบัญญัติจนมีอิทธิพลเหนือศาลทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดภาวะรัฐเหนือรัฐที่กลุ่มการเมืองบางกลุ่มอยู่เหนือการเมืองจนอันตราย (Meta-Politics)
DSI ทำถูกแล้วที่จะดำเนินคดี ฮั้ว ส.ว. แต่ปัญหาคือทุกคนรู้ว่า ส.ว.สีน้ำเงินเป็นเครื่องมือที่ชนชั้นนำใช้สกัดไม่ให้มี ส.ว.จากประชาชนหลังก้าวไกลชนะเลือกตั้ง ส.ส. ถล่มทลาย รัฐบาลและ DSI จึงไม่เคยบอกว่า ส.ว.ชุดนี้เป็นปัญหาตั้งแต่ต้น แต่เพิ่งจะพูดแบบนี้หลังเกิดความระหองระแหงในรัฐบาล
ตรงข้ามกับคนรักประชาธิปไตยที่ชี้ว่าฮั้ว ส.ว.ผิดหลักประชาธิปไตย รัฐบาลมอง ส.ว.กลุ่มนี้มีปัญหาเพราะเพื่อไทยกับภูมิใจไทยมีปัญหาจนปะทะระดับต่างๆ เยอะไปหมด ทั้งที่เครือข่ายพรรคเพื่อไทยบางกลุ่มเคยบอกว่าการฮั้ว ส.ว.เป็นหลักฐานว่าส้มไม่มีปัญญาจัดตั้งคนอย่างภูมิใจไทยด้วยซ้ำไป
“ดีลลับ” ที่ให้กำเนิดรัฐบาลคือต้นตอที่ทำให้เกิดการ “ฮั้ว ส.ว.” จนได้ผลลัพธ์เป็น “ส.ว.สีน้ำเงิน” รัฐบาลที่มาจากดีลลับจึงถูกมองว่าเป็นพวกเดียวกับ ส.ว.สีน้ำเงินในแง่โครงสร้างมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ปัญหาในตอนนี้อยู่ที่ ส.ว.สีน้ำเงินจะเป็นของฝ่ายไหน หรืออยู่ใต้ใครที่อยู่ในเครือข่าย “ดีลลับ” เดียวกัน
สําหรับรัฐบาลที่เกิดจาก “ดีลลับ” ในปัจจุบัน สาระสำคัญของคดี “ฮั้ว ส.ว.” ไม่ได้อยู่ที่การทำลาย “ส.ว.สีน้ำเงิน” ให้สิ้นซาก แต่อยู่ที่การทำให้ “ส.ว.สีน้ำเงิน” เปลี่ยนข้างหรือมีระยะห่างมากขึ้นจากพรรคสีน้ำเงิน
เมื่อเป็นเช่นนี้ คดีฮั้ว ส.ว.จึงเป็นคดีที่เป็นการเมืองตั้งแต่ต้น การประชุมเรื่องจะทำคดีหรือไม่จบด้วยการเลื่อนลงมติว่าจะรับหรือไม่รับคดี ตำรวจที่เป็นกรรมการรับคดี 3 คนไม่มาประชุมจนเสี่ยงที่เสียงโหวตฝ่ายรับคดีมีไม่ถึง 15 จาก 21 ส่วนรัฐบาลก็เลี่ยงปัญหาลงมติแพ้จนยังไม่พิจารณาวาระทำคดี
พูดก็พูดเถอะ คุณภูมิธรรม เวชยชัย และรัฐบาลต้องทบทวนด้วยว่าอะไรทำให้ข้าราชการผู้ใหญ่ 3 คนไม่มาในวาระที่รัฐบาลกำหนด พรรคเพื่อไทยยังคุมสภาพตำรวจได้อยู่หรือไม่ หรือพรรคสีน้ำเงินมีอิทธิฤทธิ์เหนือตำรวจทั้งที่คุณแพทองธาร ชินวัตร และคุณภูมิธรรมเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง
ผมเชื่อว่าการประชุมครั้งหน้า แม้จะด้วยการที่ DSI รับทำคดีฮั้ว ส.ว. แต่ในที่สุดจะไม่มีใครทำอะไรที่กระทบอำนาจ ส.ว. หรือทำให้ ส.ว.เป็นโมฆะ 138 คน
เพราะ ส.ว.เหล่านี้คือเครื่องมือของผู้มีอำนาจในการปกป้องรัฐธรรมนูญ ุ2560 และสกัดพรรคส้ม คดีจะไม่จบเร็ว และอาจเยื้อจนหมดวาระรัฐบาล
ยิ่งเห็นขบวนการฮั้ว ส.ว. ยิ่งเห็นปัญหาของรัฐบาลที่มาจากดีลลับ และยิ่งเป็นปัญหาดีลลับ ยิ่งเห็นปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ยิ่งใช้ยิ่งทำให้การเมืองไทยเลวร้ายกว่าเดิม
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022