

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
America First
ต้องไม่ใช่ America Alone!
หลายคนเห็นภาพนี้แล้วตีความกันไปต่างๆ นานา
รัฐมนตรีญี่ปุ่นที่นำทีมไปเจรจากับโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องใส่หมวก MAGA (Make America Great Again) ขณะนั่งที่โต๊ะประธานาธิบดีในทำเนียบขาว
นี่ถูกบังคับหรือทำเองด้วยความสมัครใจ
หรือเป็นกลเม็ดของการต่อรองเพื่อไม่ให้ทรัมป์ “ลงโทษ” ญี่ปุ่นเรื่องภาษีศุลกากรหนักไปกว่าที่ประกาศเอาไว้
หรือเป็นเพราะทรัมป์ “กดดันบังคับ” ให้ทีมญี่ปุ่นต้องแสดง “ความจงรักภักดี” ด้วยการสยบยอมต่อหน้าต่อตามสื่อมวลชน เพื่อให้ภาพนี้ปรากฏไปทั่วโลก
กลับถึงบ้าน รัฐมนตรีคนนี้ถูกคนญี่ปุ่นวิพากษ์วิจารณ์หนักไม่น้อย…ว่าทำตัวไม่สมศักดิ์ศรีของประเทศตนเอง
แต่คนญี่ปุ่นอีกจำนวนหนึ่งก็เข้าใจว่ารัฐบาลญี่ปุ่นของนายกรัฐมนตรีชิเกรุ อิชิบะ ไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก จำต้องยอมตามเงื่อนไขส่วนใหญ่ของทรัมป์อยู่ดี
หัวหน้าทีมเจรจาฝ่ายญี่ปุ่นคนนี้คือนายเรียวเซอิ อากาซาวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
แกออกมาแถลงแก้ต่างว่าภาพถ่ายที่เห็นสวมหมวก MAGA นั้นไม่ใช่การส่งความหมายทางการเมืองแต่อย่างไร
เหตุเกิดวันที่ 16 เมษายน ตอนที่รัฐมนตรีคนนี้ไปพบทรัมป์ที่ทำเนียบขาวเพื่อต่อรองประเด็นภาษีศุลกากรของสหรัฐ
แกจะรู้ตัวก่อนหรือไม่ก็ตาม แต่ทีมงานของทรัมป์ก็ฉวยโอกาสเผยแพร่รูปนี้ออกไปอย่างกว้างขวางเพื่อเสริมบารมีของทรัมป์ ฝ่ายค้านถือโอกาสออกมาโจมตีทันที
ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 21 เมษายน นายเอริ โทคุนางะ จากพรรคประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักลุกขึ้นแถลงว่า
“การที่รัฐมนตรีในคณะรัฐบาลญี่ปุ่นสวมหมวกแบบนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญทางการเมืองอย่างยิ่ง”
รัฐมนตรีอากาซาวะตอบว่า “ผมได้หมวกนี้มาระหว่างการแลกเปลี่ยนของขวัญ (กับทรัมป์) ถือเป็นเรื่องปกติที่จะสวมหมวกนี้และแสดงให้คนอื่นเห็น”
แต่ไม่รู้ว่าทีมของทรัมป์จะนำออกมาทำเป็นเรื่องให้เกิดเรื่องเกิดราวอย่างนี้
ผมมองว่านี่ย่อมมิใช่เหตุบังเอิญสำหรับทรัมป์
เพราะทุกโอกาสที่จะให้ชาวโลกเห็นว่าทีมต่างประเทศที่มาเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรจะต้องมาแสดงความ “จงรักภักดี” ต่อท่านประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่
“ใครต่อใครต่างก็ยื้อแย่งกันมาหาผม…มาจูบก้นผม (kiss my ass) กันทั้งนั้น” ทรัมป์กล่าวระหว่างการปราศรัยในงานพรรครีพับลิกันในจังหวะใกล้ๆ กันนั้น
ความหมายของทรัมป์คือในเมื่อเขาชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นด้วยสโลแกน Make America Great Again ทุกประเทศในโลกก็จะต้องมาช่วยเขาทำให้บรรลุเป้าหมายนั้น
คือการทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ส่วนประเทศอื่นๆ จะยิ่งใหญ่ด้วยหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ทรัมป์จะต้องสนใจใยดีมากนัก
หรือกรณี America First ก็เช่นกัน
เดิมนั้นคือคำขวัญหาเสียงที่ให้คนอเมริกันเห็นว่าเขาจะทำให้ทั้งโลกต้องยอมศิโรราปต่อสหรัฐเมื่อเขากลับมาบริหารประเทศอีกครั้งหนึ่ง
อเมริกาต้องมาก่อน!
ส่วนประเทศอื่นจะมาทีหลังอย่างไรก็ไม่ใช่ปัญหาของเขาอีกเช่นกัน
โดยลืมไปว่าถ้าจีนจะประกาศนโยบาย China Second to None (ไม่เป็นสองรองใคร) บ้าง จะว่าอย่างไร
เพราะอเมริกามี American Dream (ความฝันคนอเมริกัน)
สี จิ้นผิง ก็มี Chinese Dream เหมือนกัน
เพราะสหรัฐไม่ได้ผูกขาดความฝันและความทะเยอทะยานในโลกใบนี้ประเทศเดียวนี่นา
พอเกิดสงครามการค้ารอบใหม่นี้ สหรัฐบอกให้ทุกประเทศมาร่วมมือกับวอชิงตันเพื่อโดดเดี่ยวจีน
จีนก็ประกาศว่าประเทศไหนไปจับมือกับอเมริกาเพื่อทำร้ายผลประโยชน์ของปักกิ่งก็จะถูกตอบโต้เช่นกัน
สี จิ้นผิง ชี้ให้ทั้งโลกเห็นว่าสิ่งที่ทรัมป์ทำนั้นคือการแยกอเมริกาออกจากส่วนอื่นๆ ของโลกทั้งหมด
และดูเหมือนจีนก็พร้อมจะเข้ามาสวมบทมหาอำนาจที่จะนำทางประเทศอื่นๆ
กลายเป็นการโดดเดี่ยวสหรัฐไปในตัว
นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของทรัมป์นายสก๊อต เบสเซนต์ ไปประกาศในเวทีนานาชาติในเวลาต่อมาว่า
America First doesn’t mean America Alone
“ผมอยากจะชี้แจงให้ชัดเจนว่า ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ ไม่ได้หมายความถึง ‘อเมริกาแต่เพียงผู้เดียว”
และเสริมว่า “ตรงกันข้าม มันคือการเรียกร้องให้มีความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและการเคารพซึ่งกันและกันระหว่างคู่ค้าทางการค้า”
เกมสองมหาอำนาจต่างคนต่างพยายาม “โดดเดี่ยว” ซึ่งกันและกันกลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศเล็กๆ ที่ถูกกดดันให้ต้อง “เลือกข้าง”
แนวทาง America First ของทรัมป์จึงกลายเป็นบูมมาแรงที่วิ่งสวนกลับมาทำร้ายตัวเอง
จีนกำลังจะมาทดแทนบทบาทอเมริกาที่เล่นบทตำรวจโลกมาตลอด 80 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
แนวทางของทรัมป์วันนี้คือการเหยียบหัวประเทศอื่นทั้งหมด…และสกัดการขยายอิทธิพลของจีน
และวิธีบรรลุเป้าหมายของทรัมป์คือการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายสับสนไปทั่ว
ประเทศต่างๆ ที่ “วิ่งเข้าหา” ทรัมป์ย่อมรู้เต็มอกว่าการที่สหรัฐภายใต้ทรัมป์เล่นเกม “ทุบหัว” ทุกคนเพื่อให้มาสวามิภักดิ์ และเลิกคบจีนนั้นไม่ได้เกิดจากความนิยมชมชอบนโยบาย America First ของเขา
หากแต่เป็นการจำกัดความเสียหายอันเกิดจากการใช้วิธีการ “นักเลงปากซอย” ของทรัมป์เฉพาะหน้า
จนกลายเป็นการแสดงละครเสแสร้างแกล้งยอมจำนนต่อหน้าแต่คับแค้นแน่นอุราในขณะเดียวกัน
ขณะที่ก็เชียร์ (อย่างไม่เปิดหน้า) ให้จีนใช้อำนาจต่อรองที่สั่งสมมาหลายปี “สั่งสอน” ทรัมป์ในรูปแบบที่เจ้าตัวอาจจะไม่เคยคิดว่าจะต้องเจอกับคู่แข่งที่ยืนระยะได้อย่างจีนมาก่อน
ความย้อนแย้งอันเกิดจากนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์เผลอๆ อาจกลายเป็น “อเมริกาทำให้จีนมาก่อน”
แทนที่จะเป็น Make America Great Again อาจจะกลายเป็น Make China Great Again
ทรัมป์ใช้กลเม็ดเด็ดพรายในการเจรจาต่อรองด้วยการเกทับบลัฟแหลก กะล่อนปลิ้นปล้อนและข่มขู่กดดันที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ Art of the Deal
แต่หารู้ไม่ว่า สี จิ้นผิง อ่านตำรา Art of War ของซุนวูแบบทะลุปรุโปร่ง
จึงใช้วิธี “ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว” ต่อทรัมป์
จนทรัมป์เกิดอาการร้อนรนเมื่อสี จิ้นผิง ทิ้งจังหวะการต่อสายมาพูดคุยหลังจากทรัมป์อาละวาดก้วยการด่ากราดจีนอย่างสาดเสียเทเสีย และประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนบ้าเลือดถึง 245%
ก่อนจะยอมถอย “เพราะผมกับท่านสีรักกันดี เราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข”
สี จิ้นผิง ใช้กลยุทธ์ย้อนรอยทรัมป์ด้วยการประกาศเป็นผู้นำด้านพหุภาคี, ส่งเสริมการค้าเสรี, การเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน…และเสริมสร้างพันธมิตรขณะที่พฤติกรรมของทรัมป์ก่อความสับสนจนไม่รู้ว่าใครคือมิตรใครคือศัตรู
ทรัมป์ตอกย้ำว่าอเมริกาต้องมาก่อน…แปลว่าคนอื่นต้องอยู่ข้างหลัง
หรือเดินตามต้อยๆ โดยไม่รู้จะหล่นลงหลุมข้างทางเมื่อไหร่
วันนี้ ทรัมป์ถูกตราหน้าว่าเขากำลังจะเดินไปบนเส้นทาง Isolationism และ Protectionism
ขณะที่สี จิ้นผิง เน้นแนวทาง “ชะตากรรมร่วมกัน” (Shared Destiny) ในการสร้างความสัมพันธ์กับนานาชาติ
รัฐมนตรีคลังของทรัมป์จะสามารถซ่อมแซมความเสียหายอันเกิดจากความประพฤติของทรัมป์ด้วยการออกมาประกาศว่า America First ไม่ใช่ America Alone ยังน่าสงสัย
เพราะหากผลงาน 100 วันแรกของทรัมป์ทำให้ความนิยมในสายตาคนอเมริกันและชาวโลกดำดิ่งหนักไปกว่านี้
อาจจะกลายเป็น Trump : Home Alone ก็เป็นไปได้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022