
คดีข้ามชาติของ ‘ฮุน มะเนต’ ทายาททางการเมือง 3 ทศวรรษ ‘ฮุน เซน’ (ตอน1)

“ฮุน มะเนต” เพิ่งอายุ 39 ปี สำเร็จการศึกษาจากสถาบันวิชาการทหารแห่งสหรัฐอเมริกา ที่รู้จักกันในชื่อ เวสต์ปอยต์ ปัจจุบันติดยศ พล.ท. ของกองทัพบกกัมพูชา
ได้ชื่อว่าเป็น “คนดัง” และ “มีอิทธิพล” มากที่สุดคนหนึ่งในประเทศ
เหตุผลไม่เพียงเพราะ ฮุน มะเนต คือบุตรชายคนโตของ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เท่านั้น ยังดำรงตำแหน่ง รองประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของกองทัพกัมพูชา, รองผู้บัญชาการกองทัพบก และยังทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองทหารองครักษ์ประจำตัวนายกรัฐมนตรี หรือ “บอดีการ์ด ยูนิต” หน่วยทหารระดับ “หัวกะทิ” ที่มักตกเป็นเป้าถูกกล่าวหาว่า “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” อยู่บ่อยๆ เท่านั้น
ฮุน มะเนต ยังถูกยึดถือกันทั่วไปว่าคือ “ทายาททางการเมือง” ที่จะสืบทอดอำนาจยาวนานกว่า 3 ทศวรรษของ ฮุน เซน อีกด้วย
แต่ตอนนี้ ฮุน มะเนต กำลังตกเป็น “จำเลย” ในคดีฟ้องร้องต่อศาลถึง 2 คดี
หากเป็นคดีภายในประเทศ ที่อยู่ภายใต้อำนาจศาลกัมพูชา ซึ่งถูกกล่าวหาอยู่เนืองๆ จากทั้งฝ่ายค้านภายในประเทศและสื่อมวลชนต่างประเทศ ว่าเป็นเพียง “เครื่องมือ” ทางการเมืองเท่านั้นก็คงพอทำเนา
ปัญหาก็คือ ฮุน มะเนต ตกเป็นจำเลยของ ศาลแขวงกลางแห่งแคลิฟอร์เนีย ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในคดีที่ค่อนข้างแปลก
และบางคนเชื่อว่า คดีนี้มีสิทธิที่จะกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ของประเทศได้ไม่ยาก
คําร้องในคดีที่ นายพลฮุน มะเนต ตกเป็นจำเลย และมี รัฐบาลกัมพูชา เป็นจำเลยร่วม ยื่นต่อศาลแคลิฟอร์เนียไว้เมื่อวันที่ 8 เดือนเมษายนต้นปีนี้
ผู้ยื่นคำร้อง คือ คณะทนายความที่นำโดย มอร์ตัน สคลาร์ นักกฎหมายที่ชาวกัมพูชาพลัดถิ่นในสหรัฐอเมริกาและบรรดาฝ่ายค้านในกัมพูชารู้จักดี ทำหน้าที่ยื่นคำร้องในฐานะตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจจาก เมียช โสวันนรา ผู้อำนวยการฝ่ายข่าวสารของพรรคกู้ชาติกัมพูชา (ซีเอ็นอาร์พี) ที่มี สม รังสี เป็นหัวหน้าพรรค
เกี่ยวเนื่องกับกรณีที่ โจทก์ คือนายโสวันนรา ถูกจำเลย ในฐานะผู้บัญชาการ “บอดีการ์ดยูนิต” หรือ “บียู” จับกุมในข้อหา ยุยง ปลุกปั่น ให้เกิดเหตุจลาจลขึ้นที่ “สวนเสรีภาพ” สถานที่ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้เป็นพื้นที่ชุมนุมประท้วงในกรุงพนมเปญ เมื่อปี 2014 โดยอ้างว่า โสวันนรา ร่วมกับพวกนักเคลื่อนไหวอีก 10 คนยุยงจนเกิดการจลาจลปะทะกับเจ้าหน้าที่ขึ้น และในเวลาต่อมา เมียช โสวันนรา ถูกพิพากษาให้จำคุก 20 ปี
โจทก์อ้างว่า การจับกุมและการพิพากษาโทษจำคุกดังกล่าว เป็นการกระทำ “ตามอำเภอน้ำใจ”, ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ อันเป็นเหตุให้โจทก์ถูกจองจำยาวนานเกินกว่าเหตุ อันก่อให้เกิดความเสียหายทั้งร่างกายและจิตใจ
อีกคดีที่ต่อมาถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน คือคดีที่ พอล เฮย์ส นักสืบเอกชนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินกระบวนตามกฎหมาย นำคำฟ้องเป็นลายลักษณ์อักษรในคดีข้างต้นนี้ไปมอบให้กับ นายพลมะเนต ระหว่างการเดินทางเยือนชุมชนชาวกัมพูชาในสหรัฐอเมริกาในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน แต่กล่าวหาว่า ถูกองครักษ์ของนายพลมะเนตทำร้ายร่างกาย จนจำต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เหตุเกิดที่ภัตตาคารลาลูน ในย่านลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
คดีนี้ ผู้พิพากษา จอร์จ เอช. วู ชี้ขาดเมื่อ 1 กันยายนที่ผ่านมา ให้ดำเนินกระบวนการทางศาลต่อไป โดยอาศัยหลัก “จูริสดิกชั่น ดิสคัฟเวอรี” ในการขยายขอบเขตอำนาจศาลออกไป ครอบคลุมไปถึงนายพลมะเนตและรัฐบาลกัมพูชา
ทำไมศาลอเมริกันถึงพิจารณาคดีที่จำเลยเป็นชาวกัมพูชาได้? เรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนเท่าใดนัก
เพราะข้อเท็จจริงก็คือ เมียช โสวันนรา ซึ่งมีถิ่นพำนักในลองบีช ถือได้ว่าเป็นพลเรือนอเมริกันเต็มตัวเมื่อได้สัญชาติอเมริกัน
เรื่องนี้ยังมีรายละเอียดน่าสนใจอีกไม่น้อย โปรดติดตามต่อไป