
เมษา พฤษภา 2553 ความในใจ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การเจรจา กับ ผู้นำ ‘เสื้อแดง’

ยุทธการ แดงเดือด
เมษา พฤษภา 2553
ความในใจ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
การเจรจา กับ ผู้นำ ‘เสื้อแดง’
ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 มีการชุมนุมเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในกรุงเทพมหานครคู่ขนานไปกับการก่อเหตุร้ายตามสถานที่ต่างๆ ด้วยอาวุธสงคราม โดยเฉพาะระเบิด M79
ลักษณะการเคลื่อนไหวในการชุมนุมเพิ่มดีกรีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มีผู้ได้รับผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ
มีทั้งการไปเทเลือดหน้าทำเนียบรัฐบาล ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักส่วนตัวของครอบครัวผม มีการเคลื่อนขบวนรถ กระจายการชุมนุมไปตามถนนต่างๆ กลางเมืองกรุงเทพมหานคร
มีการระดมกำลังคนเสื้อแดงไปกดดันทหาร ขับไล่ให้ออกจากจุดประจำการต่างๆ เช่น วัด โรงเรียน ฯลฯ
ขณะนั้นรัฐบาลก็เปิดทางสำหรับการเจรจา คนทำหน้าที่หลักคือ คุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
วันที่มีการระดมมวลชนมากดดันอยู่ที่บริเวณหน้าราบ 11 ตอนนี้สถานการณ์ตึงเครียด ล่อแหลมที่จะทำให้เกิดความรุนแรงมาก เราเกรงสถานการณ์แทรกซ้อนซึ่งจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ชุมนุมเอง
คุณกอร์ปศักดิ์ก็ประสานว่าต้องนั่งโต๊ะเจรจากัน อย่าเอาชีวิตคนมาเสี่ยง
เป็นที่มาของเจรจาระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับตัวแทนแกนนำเสื้อแดงในวันที่ 28-29 มีนาคม 2553 ที่สถาบันพระปกเกล้า โดยถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ทั้ง 2 วัน วันละ 3 ชั่วโมง
ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายล้มโต๊ะเจรจาไป
ภาพที่คนจำได้ คือ ฝ่ายรัฐบาล 3 คน ใส่เสื้อฟ้า นั่งพูดคุยโต้ตอบกับฝ่ายเสื้อแดง 3 คน
ถามว่าทำไมเป็น 3 คนนี้
ฝ่ายรัฐบาลเรามี คุณชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ท่านเป็นคนที่รู้ข้อเท็จจริงเรื่องปัญหาการเมือง อยู่ในการเมืองมานาน ทั้งการต่อสู้ของประชาชนและในสภา ก็ให้ช่วยดูเรื่องพวกนี้
คุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ท่านทำหน้าที่ประสานกับฝ่ายโน้นมาตลอดตั้งแต่ก่อนจะเริ่มชุมนุมเคยให้คุณกอร์ปศักดิ์พูดคุยว่าจะขอตั้งด่านตรวจเท่าที่จะทำได้เพื่อจะให้ทุกอย่างมันเรียบร้อยปลอดภัย เมื่อเขาร้องเรียนมาก็มีคุณกอร์ปศักดิ์คอยเข้าไปพูดคุย เจรจา อำนวยความสะดวก
ส่วนผมก็ต้องทำหน้าที่ในการตัดสินใจว่าจะเสนอหรือตอบรับหรือปฏิเสธในเรื่องการตัดสินใจทางการเมือง เช่น เรื่องการยุบสภา เป็นต้น
ส่วนทางโน้นเขาให้ คุณวีระ มุสิกพงศ์ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ และหมอเหวง มาด้วยเหตุผลใดก็สุดแท้แต่เขา ซึ่งทั้ง 3 คนนั้นก็แสดงตัวเป็นแกนนำในทางเปิดเผย เมื่อเขากำหนดมาเราก็ยอมรับ
ใครดูการถ่ายทอดสด 28-29 มีนาคม 2553 จะเห็นว่าบางช่วงการเจรจาแทบไม่ใช่การเจรจา เกือบๆ จะเป็นการโต้เถียง
ช่วงแรกผมลืมปิดโทรศัพท์มือถือ ปรากฏว่า sms เข้ามาเยอะมาก เป็นคนที่ดูทีวีแล้วทนไม่ไหว พยายามส่งข้อความเข้ามาต่างๆ นานาเพื่อเถียงแทนเรา สงสัยว่าคนดูคงอยาก sms เข้ามาร่วมเจรจาด้วย
คุณกอร์ปศักดิ์นั่งอยู่ข้างๆ ต้องสะกิดบอกปิดเถอะครับ มันจะทำให้เสียสมาธิ
การเจรจาในครั้งนั้นสิ่งที่ผมได้เห็นชัดเจน คือ คนที่เราเจรจาด้วยไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจจริงๆ เรื่องที่ผู้มีอำนาจจริงของฝ่ายเขาอยากจะได้มันอาจไม่ใช่เรื่องที่แกนนำจะกล้าพูดตรงๆ
สิ่งที่เราสามารถเสนอให้เขาได้ก็ไม่ได้ตอบสนองผลประโยชน์ส่วนตัวของคนที่มีอำนาจตัดสินใจแท้จริง
เพราะเราพูดแต่ประเด็นส่วนรวม เช่น ยอมถอย ไม่อยู่จนครบเทอมโดยพร้อมจะยุบสภาปลายปี เป็นต้น ส่วนเรื่องที่ล้ำเกินไปกว่าอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลเราก็ไม่สามารถจะไปรับปากเขาได้
ผมสังเกตว่า วันแรกที่คุยกันใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ผมได้อธิบายอะไรไปพอสมควร คู่เจรจาไม่แน่ใจว่าฟังแล้วจะคิดอย่างไร
แต่คนที่ดูการถ่ายทอดทางโทรทัศน์น่าจะได้ประโยชน์
ในแง่ของการทำความเข้าใจเหตุการณ์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นซึ่งทางฝ่ายโน้นก็รู้สึกว่าไม่ค่อยชอบใจนัก ก็มีการไปเข้าห้องน้ำโทรศัพท์ไปหาใคร กลับออกมาก็บอกว่าวันนี้พักก่อน พอแค่นี้ก่อน
แต่พอมาอีกวันบทบาทก็เปลี่ยนไปเลย
คราวนี้ชัดเจนว่าไม่ได้มาเจรจา แต่ว่าเตรียมมาพูดเพื่อออกทีวี โดยไปหยิบประเด็นที่ปลุกระดมไว้สารพัด เช่น เรื่องที่โกหกว่าปี 2552 มีคนตาย
แล้วพอผมจะอธิบายข้อเท็จจริงก็ไม่ยอมฟัง
สุดท้ายพอเราพยายามจะนำกลับมาสู่ประเด็นข้อตกลงที่เป็นรูปธรรม เสนอว่ามาคุยกันเรื่องยุบสภาปลายปีทางโน้นก็ไม่เอา ตัดบท ล้มโต๊ะเจรจาไปในที่สุด
ทั้งหมดมีหลักฐานเพราะมีการถ่ายทอดออกโทรทัศน์ในช่วงนั้น
ผมบอกได้ว่า สถานการณ์เวลานั้นเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุลุกลามบานปลายออกไป
ไม่เอาชีวิตประชาชนมาเป็นเครื่องต่อรอง
ทำกระทั่งคุยกับแกนนำม็อบออกทีวีซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลไหนยอมทำอย่างนี้มาก่อน
แต่สุดท้ายเขาก็ล้มโต๊ะ
หลังจากนั้นแกนนำเสื้อแดงยังขยายขอบเขตการเคลื่อนไหว ยึดสี่แยกราชประสงค์ ดำเนินการในลักษณะที่ล่อแหลม ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแผ่ขยาย
และเกิดเหตุการณ์ตามมาอีกมากมาย
วันที่เสื้อแดงบุกราชประสงค์ตั้งเวทีชุมนุมถาวรกลางสี่แยกใจกลางย่านเศรษฐกิจ คนคับข้องใจกันมากว่ารัฐบาลยอมให้เขาทำอย่างนั้นได้อย่างไร
ช่วงนั้นแกนนำเสื้อแดงเริ่มนำการชุมนุมอย่างล่อแหลม
มีการยกพลไปตามถนนสายต่างๆ ขยายขอบเขตการเคลื่อนไหว จงใจทำผิดกฎหมาย ผลกระทบลุกลาม คนอื่นก็เดือดร้อน ถูกละเมิดสิทธิมากขึ้น เวลาเจ้าหน้าที่เขารายงานผมฟังอยู่ในห้องประชุม
ถามว่า “เอ๊ะ การที่ปล่อยให้คนระดมกันมาแล้วก็ไปสัญจรไปมาสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นมันไม่สามารถที่จะไปหยุดยั้งได้เหรอ”
ตอนนั้นเรามีการประกาศข้อกำหนด มีการตั้งด่าน พยายามสกัด
เจ้าหน้าที่บางคนอธิบายว่า “จะให้พวกผมทำยังไงครับ บางคนเขามาแบบส่วนตัว นั่งแท็กซี่มา มารถส่วนตัว ซ้อนมอเตอร์ไซค์มา คนสองคน ผมจะไม่ให้เขาผ่านได้ยังไง มันก็เป็นเหมือนการใช้เสรีภาพส่วนบุคคล”
ผมบอกว่า “อ้าว แล้วพวกที่มาเป็นคันรถล่ะ”
เขาบอกว่า “อันนั้นก็จะให้ผมทำยังไงครับ พวกเขามากันเยอะ”
“ตกลงยังไง แปลว่า คุณสกัดได้เฉพาะพวก medium พวกปานกลางหรือยังไง มาทีละคนก็ป้องกันไม่ได้ หลายคนก็ไม่ได้”
ปัญหาใหญ่ คือ วิธีคิดและระบบการจัดการการชุมนุม
สะท้อนให้เห็นไม่เพียงว่ารัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังเผชิญกับการเคลื่อนไหวในรูปแบบใหม่
หากแสดงว่า “นปช.แดงทั้งแผ่นดิน” ก็ปรับ “ยุทธวิธี” ตลอดเวลาเช่นกัน
การขยายจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน ไปยังแยกราชประสงค์ ย่านธุรกิจสมัยใหม่ของมหานครคือบาทก้าวสำคัญ
ทำให้การชุมนุมในเดือนเมษายน 2553 แตกต่างไปจากอดีต
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022