เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

จาก My Way ถึง Better Man และมนุษย์วิวัฒน์ของ ร็อบบี้ วิลเลียมส์

13.05.2025

บทความพิเศษ | ศรัณยู ตรีสุคนธ์

 

จาก My Way ถึง Better Man

และมนุษย์วิวัฒน์ของ ร็อบบี้ วิลเลียมส์

 

My Way เป็นเพลงที่มีประวัติที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะก่อนที่จะกลายมาเป็นเพลงสแตนดาร์ด ป๊อป ระดับตำนานที่ถือเป็นเพลงคู่บุญของ แฟรงก์ ซินาตรา ที่โด่งดังไปทั่วโลก

เพลงๆ นี้มีชื่อว่า “Comme d’habitude” ซึ่งเป็นเพลงภาษาฝรั่งเศสที่แต่งเนื้อร้อง, ทำนองและบันทึกเสียงในปี 1967 โดย โคลด ฟรองซัวส์ และ ฌากส์ รีโวซ์

หลังจากนั้นเพียงปีเดียวศิลปินระดับตำนานอีกคนอย่าง พอล อังกา บังเอิญได้ไปยินเพลงนี้เข้าในระหว่างทำธุระส่วนตัวในห้องที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส ท่วงทำนองที่ไพเราะของเพลงโดนใจ พอล แองกา เข้าอย่างจังจนทำให้เขาบินไปกรุงปารีสเพื่อขอซื้อลิขสิทธิ์จากเจ้าของแทบจะในทันที

พอล แองกา แต่งเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษเพื่อเป็นการแสดงความนับถือ แฟรงก์ ซินาตรา ที่ในขณะนั้นเปรยๆ กับแองกา ว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะวางมือจากอุตสาหกรรมบันเทิง

โดยเนื้อเพลงทั้งหมดเป็นการต่อยอดมาจากคำพูดของซินาตรา ที่บอกกับเขาเอาไว้ว่า “ผมอยากจะทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อที่จะได้เดินไปตามทางที่ตัวผมเองต้องการจริงๆ เสียที”

โปสเตอร์หนัง Better Man

ในช่วงต้นของ Better Man หนังเพลงอัตชีวประวัติ ร็อบบี้ วิลเลียมส์ ของผู้กำกับการแสดง ไมเคิล เกรซีย์ ฉากที่ร็อบบี้ในวัยเด็กร้องเพลง My Way คู่กับปีเตอร์ พ่อของเขาแสดงให้เห็นว่าเด็กชายคนนี้มีความมุ่งมั่นปรารถนาที่จะเป็นป๊อปสตาร์มากแค่ไหน

และถึงแม้ว่าลึกๆ แล้วเด็กชายคนนี้จะขาดความมั่นใจในตัวเองมากเพียงใด แต่เขาก็มองเห็นความฝันที่ส่องแสงเป็นประกายในแววตาของพ่อที่ฝันอยากจะเป็นใครบางคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่ต่างกัน

ซึ่งการที่จะคว้าความฝันที่ลอยอยู่ไกลแสนไกลบนฟากฟ้ามาครอบครองก็มีราคาที่ต้องจ่าย

ปีเตอร์จ่ายมันไปด้วยการทอดทิ้งลูกชายและครอบครัว

การจากไปของพ่อก็ทำให้ตัวตนส่วนหนึ่งของ ร็อบบี้ วิลเลียมส์ หายไปด้วยและทำให้เขาต้องใช้เวลาครึ่งค่อนชีวิตในการตามหามันกลับคืนมา

โดยในฉากที่ปีเตอร์ขึ้นรถบัสไปดูฟุตบอลรอบชิง FA Cup แล้วไม่กลับมาบ้านอีกเลยนั้น เพลง Feel ที่บรรเลงขึ้นมาช่วยถ่ายทอดความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในจิตใจของร็อบบี้ได้อย่างหมดจด

โดยเฉพาะท่อน “I just wanna feel real love. Fill the home that I live in” ที่แสดงให้เห็นว่าเด็กผู้ชายคนนี้ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าความรักของพ่อที่จะมาเติมเต็มครอบครัวให้คำว่าบ้านมีความสมบูรณ์ตามความหมายของมัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ร็อบบี้ ร้องเพลง My Way กับพ่อ

หลังจากที่ผ่านการออดิชั่นและได้เป็นหนึ่งในสมาชิกวง Take That ได้แล้วก็ตาม ร็อบบี้กลับต้องซ้อมร้องซ้อมเต้นหรือแม้กระทั่งขึ้นโชว์ในผับเกย์ ซึ่งทำให้เขาเป็นตัวของตัวเองน้อยลงไปทุกที

เพลง Rock DJ ที่บรรเลงในหนังสื่อให้เห็นถึงการขายวิญญาณให้ซาตานของร็อบบี้อย่างตรงไปตรงมา เนื่องจากเขาต้องเปลี่ยนชื่อจากโรเบิร์ต ไปเป็นร็อบบี้ ตามคำแนะนำของ ไนเจล มาร์ติน-สมิธ ผู้จัดการวง

ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับเนื้อหาของเพลงๆ นี้ที่สื่อถึงการยอมสูญเสียตัวเองไปเป็นใครก็ไม่รู้เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น

เพลง Come Undone บรรเลงขึ้นในฉากที่ร็อบบี้ขับรถออกจากคฤหาสน์ของ แกรี่ บาร์โลว์ หลังจากที่เขาถูกเพื่อนร่วมวงเขี่ยทิ้งออกจากวง Take That

การเหยียบคันเร่งที่ไม่เกรงกลัวต่อความตายสอดคล้องกับเนื้อหาของเพลงที่ในท่อนหนึ่งเขียนว่า “ความตายน่ะหรือ ฉันไม่กลัวมันหรอก ฉันแค่ไม่ต้องการมันเท่านั้น”

ส่วนเนื้อเพลงก็สะท้อนให้เห็นถึงการรับมือกับความโด่งดังที่ต้องแลกมากับความสูญสลายภายในจิตใจ

ชีวิตของร็อบบี้คงไม่แหลกสลายเป็นผุยผงขนาดนี้ถ้าหากว่าพ่อไม่เป็นฝ่ายทิ้งเขาไปก่อน ฉากที่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้เห็นถึงความจริงข้อนี้ได้อย่างชัดเจนที่สุดอยู่ในฉากที่ร็อบบี้เหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อให้ชนกับรถบัสคันหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่รถกลับวิ่งสวนรถบัสคันนั้นไปอย่างเชื่องช้า และภาพที่เขาเห็นบนรถบัสก็คือพ่อของเขาเองที่กำลังเอ็นเตอร์เทนผู้คนบนรถอย่างมีความสุข

ผู้ชายคนนี้มีความฝันที่จะเป็นคนดังเหมือนพ่อก็จริง แต่ลึกๆ แล้วสิ่งที่เขาต้องการมากกว่าอะไรทั้งหมดคือรักแท้จากใครสักคนต่างหาก

คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า ร็อบบี้ไม่ได้ต้องการที่จะมีคนรักเป็นแสนเป็นล้านคนในฐานะป๊อปสตาร์เบอร์หนึ่งของโลก เพราะสิ่งที่ศิลปินหนุ่มคนนี้ปรารถนามากที่สุดมาโดยตลอดก็คือการเป็นลูกชายเบอร์หนึ่งของพ่อ แต่ทว่า เขากลับไม่เคยได้รับมันเลย

 

แทบทุกเพลงต่อจากนี้ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวที่สื่อไปถึงสิ่งเดียวกันนั่นก็คือ “การค้นหาตัวเองหรือใครบางคนให้เจอเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป”

ไม่ว่าจะเป็นเพลง She’s the One ที่ร็อบบี้เชื่อว่ารักแท้ที่เขาพบในตัวของคู่หมั้น นิโคล แอปเปิลตัน จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นได้

เพลง Something Beautiful ที่ทำให้เขามองเห็นคุณค่าในตัวเองผ่านความหวังและชี้ให้เห็นว่าชื่อเสียงความสำเร็จและเงินทองที่ได้มานั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

เพลง Let Me Entertain You ที่ร็อบบี้ร้องต่อหน้าแฟนเพลงกว่าหนึ่งแสนคนที่ Knebworth ก็เป็นเพลงที่เสียดสีวัฒนธรรมป๊อปที่นับวันจะยิ่งมองเห็นศิลปินเป็นเพียง “สินค้า” มากขึ้นไปทุกที ส่งผลให้ศิลปินทุกวันนี้พยายามพรีเซนต์ตัวเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับมากกว่าความสามารถที่แท้จริง

การโฟกัสผิดจุดนี้ทำให้อุตสาหกรรมบันเทิงบิดเบี้ยวมากขึ้นไปทุกที เช่นเดียวกับตัวตนของศิลปินที่บิดเบี้ยวตามไปด้วย

 

ร็อบบี้ วิลเลียมส์ ให้สัมภาษณ์ว่าการเลือกลิงชิมแปนซีมาแทนตัวของเขาเองตั้งแต่เล็กจนโตในหนังเรื่องนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมาเขาเป็นเหมือนลิงที่ถูกฝึกแสดงเพื่อมอบความบันเทิงให้กับคนอื่น

ซึ่งการได้เห็นลิงแทนที่จะเป็นคนตลอดทั้งเรื่องทำให้ผู้ชมไม่ยึดติดตัวตนจริงๆ ของร็อบบี้ และหันไปโฟกัสกับความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ลึกๆ ภายในจิตใจของตัวละครมากกว่า

การใช้ลิงมาเป็นตัวแทนของป๊อปสตาร์หนุ่มที่เก็บซ่อนบาดแผลเอาไว้ภายในผู้นี้ก็แสดงให้เห็นถึงการวิวัฒนาการตัวเองตาม “ทฤษฎีคัดสรรโดยธรรมชาติ” (Natural Selection) ของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ด้วย

โดยหัวใจสำคัญของทฤษฎีนี้ก็คือคำกล่าวที่ว่า “ผู้ที่จะอยู่รอดได้ ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งหรือฉลาดที่สุด แต่เป็นผู้ที่ปรับตัวได้ดีที่สุดในทุกๆ การเปลี่ยนแปลง”

ซึ่งการปรับตัวนี้เองทำให้มนุษย์กับลิงมีบรรพบุรุษร่วมกัน ก่อนที่จะมีการแยกสายวิวัฒนาการกันไปในเวลาต่อมา

นี่คือสัญญะอันแยบคายที่แสดงให้ถึงวิวัฒนาการของ ร็อบบี้ วิลเลียมส์ ที่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองจากลิงที่มีนิสัยแสนเลวร้ายเพื่อที่จะเป็น “คนที่ดีกว่าเดิม” (Better Man) ผ่านการวิวัฒน์ในแต่ละช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหวานอมขมกลืนของชีวิตได้อย่างไร

 

การร้องเพลง My Way คู่กับพ่อของตัวเองบนเวทีคอนเสิร์ตที่ Royal Albert Hall ของ ร็อบบี้ วิลเลียมส์ เป็นการคลี่คลายปมความขัดแย้งที่มีตลอดทั้งชีวิตได้อย่างสวยงาม

เพราะในที่สุดเขาก็กล้าที่จะสบตากับความจริงในอดีตอันแสนเจ็บปวดและโอบรับมันเอาไว้ นี่คือการยอมรับใน “วิถีทางของตัวเอง” ตามชื่อเพลงจริงๆ

โดยเพลง Forbidden Road ที่ร็อบบี้แต่งขึ้นใหม่ก็ช่วยเติมเต็มให้เพลง My Way มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นและในขณะเดียวกันก็เป็นเพลงที่รักษาบาดแผลในใจของป๊อปสตาร์หนุ่มคนนี้หายดีในที่สุดด้วย

My Way พูดถึงความภูมิใจในการตัดสินใจเลือกทางเดินของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ความหยิ่งผยองในศักดิ์ศรีของตัวเองจนกระทั่งมองข้ามความรักที่ผู้อื่นมอบให้นั้นถือเป็นดาบสองคม

เพลง Forbidden Road เป็นเหมือนเพลง “ร้องแก้” ของ My Way ตรงที่เนื้อหาของเพลงๆ นี้พูดถึงการยอมรับความเจ็บปวดที่ทุกคนต้องเผชิญเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางไปบนถนนที่โรยด้วยหนามอันแหลมคมมากกว่าความนุ่มนวลของกลีบกุหลาบ

โดยท่อนหนึ่งของเพลงที่นับว่าตกผลึกที่สุดถึงแม้ว่าจะเป็นท่อนสั้นๆ ก็คือท่อนที่ร้องว่า “I walked along a forbidden road / I had to know where does it go”

การทำความฝันให้เป็นจริงไม่ได้อยู่ที่การ “ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง” เพื่อที่จะเดินไปตามทางของตัวเองตามที่ แฟรงก์ ซินาตรา กล่าวไว้เท่านั้น หากแต่เป็นการโอบกอดทุกอย่างที่เป็นตัวเราเอาไว้ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีงามหรือเลวร้ายมากแค่ไหนก็ตาม

เพราะถนนบางเส้นบนทางเดินของชีวิต สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุดไม่ใช่ระยะทาง แต่เป็นการตระหนักรู้ว่าถนนเส้นนี้จะทำให้เรามุ่งหน้าไปสู่อะไรมากกว่า

 



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

พระพิมพ์กลีบบัว เนื้อดินเผา วัตถุมงคลเก่าแก่ของวัดลิงขบ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เสก
ร้อนสุดขั้ว ‘สะท้านโลก’
อสังหาฯ ปรับแผนเปลี่ยนกลยุทธตลาด
‘โจบ’ บนเส้นทางเดียวกับ ‘จู๊ด’ แต่อยากยิ่งใหญ่ในแบบของตัวเอง
ชัยชนะของ AIS-GULF-JAS คนไทยเฮพร้อมดูบอลไทยลีกฟรี!
ยำรวมมิตร (กินกับข้าวต้ม)
เจาะลึกสถานการณ์ค่าย ‘NETA’ กับอนาคตตลาดรถ EV เมืองไทย
ดาวกับดวงวันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2568
จดหมาย
กลาก สังคัง ฮ่องกงฟุต มะเขือขื่นตอบโจทย์ได้
เดินตามดาว | ศรินทิรา
ขอแสดงความนับถือ