เหยี่ยวถลาลม
คับข้องในหัวใจ
ประเทศไทย
โกงเต็มแผ่นดิน?
จะว่าไปแล้ว เมื่อมีเหตุแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่ใด และที่นั่นได้รับความเสียหาย อาคารบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างทรุดล้มพังถล่มลงมา มีคนบาดเจ็บล้มตายบ้าง ต้องถือเป็นเรื่องธรรมดา
ทำไมจึงว่า “อาคาร สตง.” ที่สูงกว่า 30 ชั้นถล่มลงมา “ไม่ธรรมดา”
“ผิดปกติ” ก็ตรงที่ “ศูนย์กลางแผ่นดินไหว” ในเมียนมานั้นอยู่ไกลออกไปกว่า 1 พันกิโลเมตร
ไม่เพียงแต่ไทย แม้แต่โลกก็ประหลาดใจตรงที่ “แรงกระเพื่อม” จากศูนย์กลางแผ่นดินไหวเดินทางไกลกว่าจะมาถึง กทม.
เหตุใด ระหว่างเส้นทางกว่า 1 พันกิโลเมตรนั้นจึงไม่มีอาคารบ้านเรือนหรือตึกสูงใดๆ พังถล่มเลยแม้แต่หลังเดียว
มีเพียง “อาคาร สตง.” 1 เดียวเท่านั้นที่พังครืนในพริบตา
อาคาร 2 พันล้านของ “สตง.” จึงไม่ใช่อาคารธรรมดา
ไม่เพียงแต่เท่านั้น กว่า 100 คนที่จบชีวิตใต้ซากอาคาร “สตง.” ก็ไม่ใช่การตายธรรมดา
ในทางกฎหมาย เรียกว่า “ตายผิดธรรมชาติ”
การตายผิดธรรมชาติต้องมี “การชันสูตรพลิกศพ” ทุกศพ
แพทย์ต้องทำรายงานการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ อัตลักษณ์ จำแนกชัดใครเป็นใคร ถึงจะเห็นเต็มตาว่า “ตึก สตง.” ถล่ม มีคนตาย ก็ต้องระบุเหตุที่ทำให้ตาย
ตราบเท่าที่การชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ คดีก็ยังคงยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก กันต่อไป
นี่จึงเป็น “เหตุ 1” ที่ชวนให้ผู้คนขุ่นข้องแคลงใจ “คดีตึก สตง.” ถล่ม
ประกอบกับลีลาท่วงท่าของ “ผู้อยู่สูงเด่น” มีตำแหน่งสำคัญในระบบราชการหรือองค์กรอิสระอย่างยิ่งในประเทศไทยนั้นมักจะเย็นชาเฉย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งข้างเคียงข้างคูต่างก็ตั้งอยู่ใน “ความสงบ” กลมกลืนไปกับสายลมแสงแดด
สองพิธีกรดังอย่าง “ดำรง พุฒตาล” ในวัย 80 กับ “นารากร ติยายน” วัยใกล้เกษียณ ถึงกับทนไม่ได้ ตรงเข้าแจ้งความที่ สน.บางซื่อ ให้ดำเนินคดีกับนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการ สตง. กับนายประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าการ สตง. ผู้ลงนามสัญญาว่าจ้างก่อสร้างอาคาร 2 พันล้าน
กล่าวโทษว่า กระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จากเหตุการณ์อาคาร สตง.ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างถล่มลงมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568
“ประมาท” คือการกระทำที่ปราศจากความระมัดระวัง ต้องมี “ผู้กระทำ” หรืออาจ “ผู้งดเว้นการกระทำ” อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็น “เหตุ” นำไปสู่ “ผล” ที่เกิดอันตรายตั้งแต่บาดเจ็บเล็กน้อย สาหัส หรือถึงขั้น “ตาย”
ส่วนที่ว่า “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” นั้นก็ต้องขยายผลให้สิ้นกระแสความด้วยว่า “โดยมิชอบ” หรือ “โดยทุจริต”
การพิสูจน์มูลเหตุจูงใจที่ทำให้เจ้าพนักงานของรัฐกระทำในสิ่งที่กฎหมายเรียกว่า “ประมาท” นั้น พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ต้องพิสูจน์เพื่อคงไว้ซึ่ง “ความสะอาดบริสุทธิ์” ของกระบวนการยุติธรรมชั้นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้คนทั่วไปมีความสงสัยอยู่เหมือนกันว่าหมายเลข 1 หรือหมายเลข 2, 3 ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ใครมีหน้าที่ให้ความกระจ่างกับสังคมบ้าง
กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักวิทยาการ สำนักงานแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ดีเอสไอ และ ป.ป.ช. ก็น่าจะรับรู้ได้ว่า “ประชาชนทนดูไม่ได้ที่ผู้เกี่ยวข้องพากันเก็บตัวเงียบอยู่ในที่มั่น”
พิธีกร “นารากร” จึงระบายความอึดอัดตรงไปที่ “สตง.” ว่า ตั้งแต่ตึกถล่มยังไม่เคยเห็นนายมณเฑียร ผู้ว่าการ สตง.เอ่ยคำว่าขอโทษ หรือแสดงความรับผิดชอบใดๆ ต่อการเสียชีวิตและการสูญหายของคนร่วมร้อยชีวิต รู้สึกคับข้องใจมากว่า มีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานเกรงว่าจะมีเพียงวิศวกรที่ถูกดำเนินคดี
“ดำรง พุฒตาล” ประชาชนเต็มขั้น เป็นเจ้าของเงิน ทรงฐานะเป็น “ผู้เสียหายโดยตรง” ทวงถามเงินของแผ่นดิน 2 พันกว่าล้านบาทที่ ครม.ปี 2563 อนุมัติให้สร้าง “อาคารสำนักงานแห่งใหม่ สตง.”
“อาคาร สตง.” ทำไมจึงคล้าย “ปราสาททราย”!
นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” สะพรึงถึงกับอุทานว่า “เราจะตอบชาวโลกว่าอย่างไร”
“อาคาร สตง.” ที่สร้างใกล้จะเสร็จ ตั้งอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวในเมียนมา นับพันกิโลเมตร กลายเป็นอาคาร 1 เดียวของไทยที่ถล่ม
ภายใน 8 วินาที อาคารสูงตระหง่านกลายเป็นเศษหินทราย!!
ภายหลังอาคารถล่ม สตง.สงบเงียบ ไม่มีผู้เชิดหน้าอย่างทระนงองอาจเที่ยวประกาศว่า “สตง.” จะเข้มงวดตรวจสอบการใช้เงินของแผ่นดินทุกบาททุกสตางค์
“จงใช้กันโดยสุจริต ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล และมีความคุ้มค่า”
การแจ้งความกล่าวหา “ผู้ว่าการ สตง.” และ “อดีตผู้ว่าการ สตง.” ของ 2 พิธีกรชื่อดังเหมือนการจุดไฟ
ด้านหนึ่ง เรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตและสูญหายกว่า 100 ชีวิต
ด้านหนึ่ง ทวงคืนความเสียหายให้กับประเทศชาติ
ด้วยการจี้-แจ้ง-ให้จับ “ผู้รับผิดทางอาญา” จากเหตุอาคาร สตง.ถล่มมาดำเนินคดี
ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ไม่ต้องพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐานคดีนี้คือ “ตึกถล่ม”
มีเพียงภาพเดียวที่ผู้คนทั่วทั้งโลกได้เห็นกันจะจะ แจ้งๆ ได้เห็นกันเต็มตาซ้ำแล้วซ้ำอีก
หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมา ซึ่งศูนย์กลางอยู่ห่างไกลออกไปกว่า 1 พันกิโลเมตร “อาคาร สตง.” เป็น 1 เดียวที่ถล่ม
ท่ามกลางข้อสงสัย มีแต่ข่าวการขุดรื้อซากปรักหักพังค้นหาผู้รอดชีวิตในช่วงสัปดาห์แรก หลังจากนั้นก็ทยอยขนถ่ายเศษซากทิ้ง ขณะที่ชีวิตเล็กๆ ของผู้น้อยที่ตายและสูญหายไม่ได้มีเกียรติภูมิอะไรนั้น พอพิสูจน์อัตลักษณ์รู้ชื่อเสียงเรียงนามก็ชดใช้เงินให้ไปพร้อมๆ กับสายลมที่โชยผ่าน
ทั้งๆ ที่มีการกระทำผิดเกิดขึ้น มีคนตายเป็นร้อย เสียหายหลายพันล้าน มีผู้กระทำผิด มีพยานวิศวกรผู้ชำนาญการพิเศษ มีหลักฐานทางวัตถุมากมาย มีกฎหมายบัญญัติชัดหลายบทหลายมาตรา แต่ดูเหมือน “รัฐไทย” จะเฉยจนชวนให้ฉงน
เงียบเสียจนผู้คนรู้สึก “คัน” อยากจะเห็นคดีประวัติศาสตร์ที่กระบวนการยุติธรรมไทยสามารถพิสูจน์ได้กระจ่างชัดว่า
เหตุ 1 ที่ “ตึก สตง.” ถล่มนั้นมีการทุจริตคอร์รัปชั่น จริงหรือไม่!?!!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022
