
ความหวังท่ามกลางวิกฤต : เงินว่างงานอัตราใหม่ 60% ที่จะช่วยชีวิตครอบครัวไทยกว่าแสนหลังถูกเลิกจ้าง

ฝนไม่ถึงดิน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
ความหวังท่ามกลางวิกฤต
: เงินว่างงานอัตราใหม่ 60%
ที่จะช่วยชีวิตครอบครัวไทยกว่าแสนหลังถูกเลิกจ้าง
การขยายอัตราชดเชยรายได้จากการถูกเลิกจ้างเป็น 60% ของค่าจ้างโดยคณะกรรมการประกันสังคม ถือเป็นก้าวสำคัญของ “ความเป็นมิตรของสวัสดิการ” ในประเทศไทย
มาตรการนี้จะส่งผลให้แรงงานกว่า 80,000 คนต่อปีที่ประสบปัญหาการถูกเลิกจ้างได้รับความช่วยเหลือที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านสู่การมีงานทำใหม่
ในยุคที่ระบบทุนนิยมครอบงำแนวคิดเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม คำว่า “สวัสดิการ” มักถูกตีความในมุมมองของการเป็นต้นทุนที่รัฐต้องแบกรับ หรือเป็นภาระที่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
แต่แท้จริงแล้ว “ความเป็นมิตรของสวัสดิการ” ควรถูกมองในมิติที่กว้างกว่า โดยพิจารณาถึงคุณค่าของสวัสดิการในฐานะเครื่องมือสร้างความมั่นคงและคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน โดยไม่ยึดโยงกับมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือกำไรของนายทุนเป็นหลัก
ฐานข้อมูล Comparative Welfare Entitlements Dataset (CWED2) ได้พัฒนาเครื่องมือในการวัดระดับความเป็นมิตรของระบบสวัสดิการในประเทศต่างๆ โดยให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดหลักสามประการ ได้แก่ สวัสดิการด้านการว่างงาน (Unemployment Benefits) สวัสดิการการลาคลอด (Maternity Leave) และระบบบำนาญ (Pension System)
เมื่อพิจารณาประเทศที่มีคะแนนสูงในดัชนี CWED2 จะพบว่า ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย เช่น สวีเดน นอร์เวย์ และเดนมาร์ก ล้วนให้ความสำคัญกับสวัสดิการที่ไม่ได้มองเพียงแค่มิติทางเศรษฐกิจ
แต่มุ่งเน้นการสร้างความเท่าเทียมและคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ
การขยายสิทธิประโยชน์การว่างงานจากการถูกเลิกจ้างจาก 50% เป็น 60% ของค่าจ้างโดยคณะกรรมการประกันสังคม ทีมประกันสังคมก้าวหน้า จะส่งผลให้แรงงานกว่า 80,000 คนที่ต้องเผชิญกับการตกงานในแต่ละปีได้รับความคุ้มครองที่ดีขึ้น
สำหรับแรงงานที่มีรายได้เดือนละ 15,000 บาท การเพิ่มอัตราชดเชยนี้จะทำให้พวกเขาได้รับเงินเพิ่มขึ้นจากเดิม 7,500 บาทต่อเดือน เป็น 9,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 1,500 บาท นับเป็นจำนวนเงินที่มีความหมายอย่างมากในการช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ค่าเดินทางไปสมัครงาน และรายจ่ายจำเป็นอื่นๆ ระหว่างการหางานใหม่
คุณศุภลักษณ์ บำรุงกิจ อนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์จากทีมประกันสังคมก้าวหน้า ผู้สำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์จากสวีเดน ได้เสนอความคิดสำคัญในที่ประชุมโดยอ้างถึง Joseph Stiglitz นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ได้เสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นการประกันการว่างงานว่า
“ฝ่ายที่ต่อต้านกลัวว่า ถ้าเงินว่างงานเพิ่ม แล้วคนจะขี้เกียจหางาน แต่จริงๆ แล้ว ในสภาวะที่งานมีจำกัด การที่คนแห่กันหางานทำ ไม่ได้จะทำให้คนได้งานเร็วขึ้น แต่จะทำให้คิวยาวขึ้นแทนต่างหาก ต่อให้ยกเลิกประกันว่างงานไปเลย คนไม่มีรายได้ตอนตกงานแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ได้งานไวขึ้นอยู่ดี”
คำกล่าวนี้ล้มล้างมายาคติที่ว่าการจ่ายเงินชดเชยการว่างงานในอัตราที่สูงขึ้นจะทำให้คนขาดแรงจูงใจในการหางาน
ในทางตรงกันข้าม การมีเงินชดเชยที่เพียงพอจะช่วยให้ผู้ว่างงานมีโอกาสในการเลือกงานที่เหมาะสมกับทักษะและความสามารถของตน นำไปสู่การจับคู่ระหว่างแรงงานและตำแหน่งงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การขยายสิทธิประโยชน์การว่างงานเป็น 60% ยังสะท้อนการเปลี่ยนกระบวนทัศน์เกี่ยวกับสวัสดิการในประเทศไทย จากที่เคยมองว่าสวัสดิการเป็นเพียงการสงเคราะห์หรือบรรเทาทุกข์ขั้นพื้นฐาน มาเป็นการมองว่าสวัสดิการคือการลงทุนในทุนมนุษย์และความมั่นคงทางสังคม การชดเชยรายได้ในอัตราที่สูงขึ้นไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ว่างงาน แต่ยังช่วยรักษากำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ ลดผลกระทบเชิงลบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย และสร้างความมั่นคงทางสังคมในระยะยาว
ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นคือ พนักงานที่ถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินชดเชยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ช่วยให้พวกเขามีเงินเพียงพอสำหรับการดำรงชีพระหว่างหางานใหม่ อีกทั้งยังช่วยให้มีเวลาในการพิจารณาเลือกงานที่เหมาะสมกับทักษะและความจำเป็นของแต่ละบุคคล โดยไม่ต้องรีบรับงานที่อาจไม่เหมาะสมเพียงเพราะความจำเป็นทางการเงิน
ระบบการจ่ายเงินชดเชยการว่างงานที่ 60% ของค่าจ้างในประเทศไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย แม้จะยังไม่สูงเท่าประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียหรือประเทศตะวันตกบางประเทศ เช่น ลักเซมเบิร์กที่จ่ายสูงถึง 87% ของรายได้เดิม
แต่ก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย ในขณะที่บางประเทศอย่างกรีซที่มีอัตราการว่างงานระยะยาวสูงถึง 10.8% ยังคงประสบปัญหาในการรักษาระดับการจ่ายเงินชดเชยการว่างงานให้เพียงพอ
นอกจากผลประโยชน์โดยตรงที่ผู้ว่างงานทั้ง 80,000 คนต่อปีจะได้รับ การขยายสิทธิประโยชน์นี้ยังส่งผลดีต่อครอบครัวของพวกเขาอีกหลายแสนคน เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้พึ่งพิงอื่นๆ ในครอบครัวจะได้รับความมั่นคงทางการเงินที่มากขึ้น ลดความเสี่ยงต่อปัญหาสังคมที่อาจเกิดจากความเครียดทางการเงิน เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาสุขภาพจิต หรือการละทิ้งการศึกษาของบุตรหลาน
“ความเป็นมิตรของสวัสดิการ” ไม่ควรถูกมองแค่ในมิติของกำไรและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
แต่ควรพิจารณาในฐานะเครื่องมือในการสร้างความเป็นธรรมและความมั่นคงทางสังคม สวัสดิการในฐานะสิทธิพื้นฐานคือการยอมรับว่าประชาชนทุกคนควรได้รับการคุ้มครองและสนับสนุนในยามที่ประสบปัญหา ไม่ว่าจะมีส่วนช่วยสร้างกำไรให้กับระบบทุนนิยมหรือไม่ก็ตาม
การลงทุนในคุณภาพชีวิตผ่านระบบสวัสดิการที่เข้มแข็งจะส่งผลดีต่อสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว แม้ว่าอาจไม่ส่งผลโดยตรงต่อกำไรในระยะสั้น
การพัฒนาระบบสวัสดิการที่เป็นมิตรกับประชาชนไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนกว่า 80,000 คนที่ต้องเผชิญกับการว่างงานในแต่ละปี
แต่ยังช่วยสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียมและยั่งยืนมากขึ้น
ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญที่เราทุกคนควรร่วมกันผลักดัน การขยายสิทธิประโยชน์การว่างงานจากการถูกเลิกจ้างเป็น 60% ของค่าจ้างจึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มอัตราตัวเลข
แต่เป็นการแสดงถึงความก้าวหน้าในการพัฒนานโยบายสวัสดิการที่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความมั่นคงของแรงงานไทยอย่างแท้จริง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022