

บทความต่างประเทศ
ที่มาศึกแคชเมียร์
คือความขัดแย้งที่ไม่สิ้นสุด
เหตุการณ์กองกำลังติดอาวุธโจมตีประชาชนในเมืองปาหัลกัม ในพื้นที่แคว้นแคชเมียร์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอินเดีย ลุกลามขยายตัวอย่างรวดเร็วกลายเป็นวิวาทะทางการทูตระหว่างอินเดียกับปากีสถาน คู่ขนานไปกับการระดมยิงเข้าใส่กันข้ามแนวควบคุม (Line of Control) และตามมาด้วยการลดระดับทางการทูตระหว่าง 2 ประเทศลง
จนในที่สุดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทางการอินเดียก็ตัดสินใจส่งกำลังทั้งทางบกและทางอากาศ ตามปฏิบัติการ “สินธูร์” (Operation Sindoor) พุ่งเป้าโจมตีเป้าหมาย 9 จุด ทั้งในปากีสถาน และในพื้นที่จัมมู-แคชเมียร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ในแคว้นแคชเมียร์ส่วนที่อยู่ภายใต้การปกครองของปากีสถาน
สถานการณ์ตึงเครียดอย่างหนัก กลายเป็นการปะทะกันครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างประเทศทั้งสองนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา
จนหวั่นเกรงกันว่าจะลุกลามต่อเนื่องกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบขึ้นมา
รากเหง้าแห่งความขัดแย้งในแคชเมียร์มีมาตั้งแต่เมื่อครั้งอินเดียที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ประกาศเอกราชจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษในปี 1947 โดยมีการแยกส่วนหนึ่งซึ่งประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนามุสลิมออกไปตั้งเป็นประเทศปากีสถาน หลงเหลือเพียงแคว้นจัมมู และแคชเมียร์ ที่มีผู้นับถือศาสนาผสมผสานกันไป ปล่อยให้ตัดสินใจเองว่าจะเลือกขึ้นอยู่กับประเทศใด
มหาราชาผู้ครองแคว้นแคชเมียร์แต่เดิมคิดจะประกาศตนเป็นอิสระ แต่ในที่สุดตัดสินใจร้องขอขึ้นอยู่กับอินเดียเพื่อแลกกับความช่วยเหลือ เมื่อปรากฏกองกำลังจากปากีสถานรุกคืบเข้ามา
เหตุการณ์เลวร้ายลงกลายเป็นสงครามระหว่างอินเดียกับปากีสถานในช่วงระหว่างปี 1947-1948 กระทั่งมีการทำความตกลงยุติความรุนแรงขึ้นในปี 1949 เรียกว่า “ความตกลงการาจี” ที่มีการกำหนดเส้นแบ่ง “แนวควบคุม” ขึ้น มีทหารจากชาติสมาชิกสหประชาชาติเข้ามากำกับดูแล
กระนั้นความตึงเครียดก็ยังคงอยู่ และระเบิดเป็นสงครามอีกครั้งในปี 1965 และสงครามย่อยๆ อีกครั้งในปี 1971 ในพื้นที่ปากีสถานตะวันออก ที่อินเดียเข้าไปช่วยให้ได้ชัยชนะในสงครามปลดแอก
ส่งผลให้เกิดการสถาปนา “บังกลาเทศ” ขึ้นตามมา
ถัดมา ความสัมพันธ์ทวิภาคี อินเดีย-ปากีสถาน ดีขึ้น มีการเจรจาทางการทูตเกิดขึ้นหลายครั้ง ทำให้เกิดความตกลงสิมลา ขึ้นในปี 1972 โดยแบ่งแคชเมียร์ออกเป็น 2 ส่วนตาม “แนวเส้นควบคุม” ที่คงอยู่มาถึงปัจจุบัน
ต่อมาในปี 1974 ความสัมพันธ์ทวิภาคีนี้ก็มีมิติใหม่เกิดขึ้น เมื่ออินเดียประสบผลสำเร็จในการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่ปากีสถานก็เร่งพัฒนาจนสามารถมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองได้เช่นกันในอีก 2 ทศวรรษต่อมา
ในช่วงระยะเวลาต่อมา เกิดขบวนการต่อต้านอินเดียขึ้นในเขตแคชเมียร์-อินเดีย หลายกลุ่ม เปิดโอกาสให้ปากีสถานเข้าแทรกแซง เพื่อบ่อนทำลายการปกครองของอินเดีย
ความตึงเครียดก่อตัวขึ้นอีกครั้ง จนเกิดเป็นการสู้รบ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงในพื้นที่ ซึ่งต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ตัวอย่างเช่น “สงครามคาร์กิล” เมื่อปี 1999 ที่ทหารปากีสถานข้ามแนวเส้นควบคุมเข้ามา
และแม้ทั้งสองฝ่ายจะทำความตกลงหยุดยิงกันขึ้นอีกครั้งในปี 2003 แต่ก็มีการละเมิดกันขึ้นเป็นระยะๆ โดยต่างฝ่ายต่างกล่าวหาอีกฝ่ายว่าละเมิดความตกลงและฝ่ายตนจำเป็นต้องยิงเพื่อตอบโต้การโจมตี
เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2008 ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด เมื่อกองกำลังติดอาวุธบุกยึดนครมุมไบ เป็นเวลา 3 วัน มีผู้เสียชีวิตมากถึง 166 รายรวมทั้งอเมริกัน 6 ราย อินเดียและสหรัฐอเมริกาเชื่อว่าเป็นฝึมือของกองกำลังติดอาวุธแอลอีที ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับไอเอสไอ หน่วยสืบราชการลับของปากีสถาน
อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนระหว่างสองประเทศ จนสามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ ก็ช่วยให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีดีขึ้นได้อีกครั้ง
ปี 2014 นเรนทรา โมดี ขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอินเดีย และริเริ่มการเจรจาเพื่อสันติภาพระหว่างกันขึ้นอีกครั้ง
แต่ก็ต้องระงับไปในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันเมื่อข้าหลวงใหญ่ปากีสถานในอินเดียลักลอบพบปะกับผู้นำกองกำลังติดอาวุธ และในที่สุดการเจรจาสันติทั้งหมดก็พังครืนลงในปี 2016 เมื่อฐานที่มั่นของทหารอินเดียใกล้แนวควบคุมถูกกองกำลังติดอาวุธโจมตีเสียหายหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี
อินเดียกล่าวหากลุ่มติดอาวุธเจอีเอ็ม ที่เชื่อว่ามีสายสัมพันธ์อยู่กับไอเอสไอเป็นตัวการ และประกาศการโจมตี “ค่ายผู้ก่อการร้าย” ในเขตแคชเมียร์-ปากีสถานเป็นการตอบโต้
การปะทะกันที่เริ่มต้นขึ้นในปลายปีนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะๆ ไปจนกระทั่งถึงปี 2018 มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย ผู้คนเป็นเรือนหมื่นต้องหลบหนีออกจากสองฟากของแนวควบคุม
เฉพาะในปี 2017 ปีเดียว มีการโจมตีกันและกันขึ้นมากกว่า 3,000 ครั้ง ในขณะที่การรวมตัวประท้วงเพื่อแยกแคชเมียร์เป็นอิสระจากอินเดียก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ในเดือนพฤษภาคม 2018 อินเดียและปากีสถานทำความตกลงหยุดยิงขึ้น โดยหันไปยึดสารัตถะจากความตกลงปี 2003 เป็นหลัก
แต่ความสงบอยู่ได้ไม่นาน เดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 คอนวอยทหารอินเดียถูกโจมตีที่ปุลวามา ในแคชเมียร์-อินเดีย ทหารเสียชีวิตไปอย่างน้อย 40 นาย กลายเป็นการสูญเสียสูงที่สุดในรอบ 30 ปี กองกำลังติดอาวุธเจอีเอ็มอ้างความรับผิดชอบ
อินเดียตอบโต้ด้วยการส่งฝูงบินถล่มที่ตั้ง “ค่ายฝึกก่อการร้าย” ในเขตแคชเมียร์-ปากีสถาน จนกลายเป็นการโจมตีทางอากาศตอบโต้กัน ถึงขั้นมีการเปิดศึกประจัญบานกลางเวหาขึ้น เครื่องบินรบอินเดียถูกยิงตก 2 ลำ นักบินรายหนึ่งถูกจับ แต่ถูกปล่อยตัวในอีก 2 วันถัดมา
ทั้งสองฝ่ายระดมส่งกำลังทหารเข้าไปประจำการในแคชเมียร์หลายหมื่นนาย
หลังเกิดเหตุดังกล่าว ทางการอินเดียตัดสินใจตัดมาตรา 370 ในรัฐธรรมนูญว่าด้วยการให้สิทธิปกครองตนเองแก่แคชเมียร์ทิ้งไป ต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับของอินเดียอย่างเคร่งครัด
ปากีสถานกล่าวหาว่า การตัดมาตรการดังกล่าวไปแสดงเป็นนัยว่าอินเดียต้องการผนวกแคชเมียร์เป็นของตนเองตามลัทธิชาตินิยมฮินดู ซึ่งเป็น “อยุติธรรม” ขั้นสูงสุด
พื้นที่แคชเมียร์-อินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองอย่างเคร่งครัดจากอินเดีย ที่นอกจากจะพยายามกวาดล้างกองกำลังติดอาวุธแล้ว ยังเข้าควบคุม ปิดกิจการสื่ออิสระ ตัดอินเตอร์เน็ตและเครือข่ายโทรศัพท์ อยู่นานเป็นปี มีผู้ถูกจับกุมคุมขังหลายพันคน ปรับเปลี่ยนเขตการเลือกตั้งใหม่เพื่อให้สิทธิพิเศษแก่พื้นที่มีประชากรฮินดู
ในขณะที่การโจมตีแบบลอบสังหารชาวฮินดูเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การปราบปรามอย่างเด็ดขาดของอินเดียส่งผลให้เกิดการสู้รบย่อมๆ ระหว่างอินเดียกับปากีสถานขึ้นอีกครั้งในปี 2023 กระนั้นการลอบสังหาร การโจมตี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวฮินดู ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2024 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงเหตุการณ์เมื่อ 22 เมษายน 2025 ที่ขบวนนักท่องเที่ยวอินเดียถูกโจมตีในแคชเมียร์ ชาวอินเดียเสียชีวิต 25 ราย ชาวเนปาลอีก 1 ราย
และเป็นที่มาของการระเบิดศึกหนล่าสุดนี้ขึ้นตามมา
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022