
90 ปีถนนขึ้นสู่ ‘วัดอรหันตา’ (วัดดอยสุเทพ) (30 เมษายน 2478-30 เมษายน 2568) ความหมายต่อชาวพุทธและก้าวต่อไป | ธเนศวร์ เจริญเมือง

บทความพิเศษ | ธเนศวร์ เจริญเมือง
90 ปีถนนขึ้นสู่ ‘วัดอรหันตา’ (วัดดอยสุเทพ)
(30 เมษายน 2478-30 เมษายน 2568)
ความหมายต่อชาวพุทธและก้าวต่อไป
30 เมษายน 2478 สำคัญอย่างไร 30 เมษายน 2568 หรือ 90 ปีเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็มีความสำคัญยิ่งกว่าหลายสิบร้อยเท่าต่อชาวพุทธและสังคมไทยโดยรวม
600 กว่าปีที่แล้ว พญากือนา (พ.ศ.1898-1928) กษัตริย์แห่งล้านนาได้รับพระบรมสารีริกธาตุมาจากพระสุมนเถระที่อัญเชิญมาถวายจากมอญผ่านสุโขทัย เมื่อพระบรมสารีริกธาตุองค์นั้นมาถึงล้านนาก็แบ่งองค์จาก 1 เป็น 2 องค์ ผลคือนอกจากพญากือนาผู้ฝักใฝ่พุทธศาสนาจะยกวังสวนดอกขะยอมให้เป็นวัดสวนดอกขะยอม เพื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์แรกมาประจำวัดนี้
ท่านยังได้ให้ช้างนำพระบรมสารีริกธาตุอีกองค์หนึ่งเดินขึ้นดอยด้านทิศตะวันตกของเมือง หยุดที่ไหนบนดอยก็ให้สร้างวัดสำหรับพระบรมสารีริกธาตุอีกองค์หนึ่ง ณ ที่นั้น
เมื่อช้างขึ้นไปหยุดที่ยอดดอยหนึ่งซึ่งสูงสุดเมื่อมองจากตัวเวียงเชียงใหม่ พุทธศาสนิกทราบว่าพระบรมสารีริกธาตุอีกองค์หนึ่งได้ขึ้นประทับบนที่สูงแล้ว ความเห็นร่วมก็คือ วัดใหม่สมควรได้ชื่อว่า “วัดอรหันตา”
คำว่า “อรหันต์ หมายถึง ผู้ห่างไกลจากกิเลส หมดสิ้นสังสารวัฏ และเป็นอริยบุคคลขั้นสูงสุด” แต่เนื่องจากดอยลูกนั้นในอดีต สุเทวฤๅษี เคยบำเพ็ญบุญที่นั่น คนแถวนั้นจึงเรียกแบบคุ้นเคยว่าวัดดอยสุเทพหลังจากพญากือนาให้สร้างวัดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอีก 1 องค์ที่นั่นในปี พ.ศ.1914
ยามนั้น เมื่อ 600 กว่าปีที่แล้ว ท่ามกลางไม้ใหญ่ไพรหนาบนดอยสูง การได้สร้างวัดสำคัญบนสถานที่สูงย่อมถือว่ายิ่งใหญ่มากแล้ว ต่อเมื่อ 100 กว่าปีมานี้ โลกได้เข้าสู่ยุคไฟฟ้าและเทคโนโลยี วัดเริ่มมีพระสงฆ์จำพรรษาที่นั่น
พุทธศาสนิกชนรุ่นใหม่จึงปรารถนาถวายไฟฟ้าให้วัด แต่ในปี 2477 รัฐบาลสยามแจ้งว่าไม่มีงบประมาณเพื่อการนั้น เจ้าหลวงเชียงใหม่ (เจ้าแก้วนวรัฐ) และ ส.ส.เชียงใหม่คนแรก (หลวงศรีประกาศ) จึงไปขอพึ่งบุญจากครูบาศรีวิชัย ครูบาฯ จึงไปสำรวจสภาพของวัดอรหันตาและเส้นทางขึ้นไป
สรุปว่า ทางเดินขึ้นวัดอรหันตาในอดีตตลอด 560 ปีที่ผ่านมา (1914-2477) ทั้งคับแคบและสูงชัน เป็นทางเดินของชาวบ้าน ที่ลัดเลาะขึ้นดอยต่อจากถนนสุเทพด้าน รพ.นครเชียงใหม่, วัดสวนดอก, กาดขะยอม, คณะเกษตร และวิศวฯ มช. สูงๆ ขึ้นไป ในอดีตไม่เคยมีพระสงฆ์จำพรรษาที่นั่น ครูบาฯ จึงเห็นว่าการสร้างถนนสายใหม่สำหรับยวดยานเป็นงานจำเป็นและสำคัญมากกว่าโครงการเสาและสายไฟฟ้าที่ย่อมจะตามมาภายหลัง
ความสำคัญของ 30 เมษายน
และ 90 ปีถนนขึ้นดอย
ตั้งแต่ปี 2463 ที่ครูบาฯ ถูกทางการสยามเชิญตัวไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ ครั้งแรกในข้อหาไม่ยอมปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองสงฆ์ พ.ศ.2445 ที่รวมอำนาจสงฆ์ทั้งหมดอยู่ใต้ส่วนกลาง ซึ่งอาจเป็นแบบอย่างให้พระสงฆ์รูปอื่นๆ และภูมิภาคอื่นๆ เลียนแบบ โดยเฉพาะข้อกำหนดที่ว่าพระสงฆ์ที่มีสิทธิบรรพชาสามเณรและภิกษุได้จะต้องเป็นพระที่มหาเถรสมาคมสยามแต่งตั้งเท่านั้น ซึ่งขัดกับแนวทางการทำงานของสงฆ์ในล้านนาที่เป็นอิสระต่ออำนาจรัฐตลอดมาในประวัติศาสตร์
หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวให้กลับคืนล้านนาในปีนั้น ครูบาศรีวิชัยก็ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะการไปรับนิมนต์เพื่อช่วยบูรณปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ ในล้านนา รวมหลายร้อยวัดในช่วงทศวรรษ 2460-2476
เมื่อรัฐไม่มีงบฯ ให้ ครูบาศรีวิชัยจึงใช้วิธีขอรับการร่วมแรงร่วมใจกันของพุทธศาสนิกทั่วแผ่นดินเพื่อสร้างทางขึ้นสู่ “วัดอรหันตา” เริ่มวันลงจอบแรก วันที่ 9 พฤศจิกายน 2477 ที่เชิงดอยสุเทพ ที่เจ้าเมืองนำหน้า, ส.ส. ข้าราชการจากหน่วยงานต่างๆ พ่อค้า และประชาชนทุกสาขาอาชีพทยอยกันมาร่วมงาน
ใครมีแรงออกแรง ใครมีเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ใครมีข้าว ผักปลาอาหารใด ก็นำมาสนับสนุนงานนี้กันอย่างคึกคัก บางคนมาช่วยงาน 3-4 วัน บางคนมาเป็นเดือน
หนังสือชื่อ “คนบะเก่าเล่าเรื่องครูบาฯ” จัดทำโดยมูลนิธิครูบาฯ ในปี 2462 มีเรื่องเล่าสนุกๆ หลายชิ้นเกี่ยวกับการร่วมกันสร้างทางขึ้นดอยฯ คราวนั้น
เมื่อจำนวนผู้คนเข้ามามากขึ้นๆ (คงหวังที่จะให้งานเสร็จสิ้นก่อนฤดูทำนาจะมาเยือน) ในที่สุดด้วยกำลังแรงงานที่ทยอยกันมาราว 2 แสนคนเศษ งานสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ระยะทางราว 12 กิโลเมตร ก็สำเร็จในวันที่ 30 เมษายน 2478 ใช้เวลา 5 เดือนเศษ
เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เพราะทั้งหมดนั้นไม่มีการใช้งบฯ ของรัฐเลย
และนี่น่าจะเป็นการรวมตัวกันทำงานของคนจำนวนมากที่สุดในสยามยุคกึ่งเมืองขึ้นที่ไม่เคยมีความขัดแย้งใดๆ กันทางการเมือง-เศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นระหว่างสยามกับต่างชาติ หรือความขัดแย้งภายใน
สะท้อนให้เห็นศักยภาพของคนไท/ไทยที่พร้อมจะเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะ รวมทั้งการเรียนรู้ข่าวสาร/การเปลี่ยนแปลง/แนวความคิดใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมให้บ้านเมืองดีขึ้นเป็นลำดับ ฯลฯ
563 ปีผ่านไป
: จากวัดอรหันตาในยุคพญากือนา
สู่ยุคครูบาฯ (พ.ศ.1914-2477)
โลกก้าวไปข้างหน้า ความรู้ของผู้คนก็ควรจะก้าวไปด้วย การได้รับพระบรมสารีริกธาตุอันล้ำค่าจากมอญ-สุโขทัย มาถึงเชียงใหม่เมื่อ 565 ปีก่อน และพญากือนาใช้ช้างและผู้คนอัญเชิญสิ่งล้ำค่านั้นขึ้นไปสร้างวัดสำคัญบนยอดดอยในป่าทึบต้องถือเป็นงานใหญ่มาก
ต่อเมื่อครูบาฯ และคณะเดินขึ้นวัดบนยอดดอยในปี 2477 เพื่อนำไฟฟ้าขึ้นไปและจัดทำเสาไฟฟ้าตามที่เจ้าเมืองและ ส.ส. มาขอให้ช่วย ผลของการออกสำรวจ ทำให้ครูบาฯ ได้ตระหนักถึงเส้นทางการแสวงหาหลักธรรมที่พระตถาคตค้นพบ ความรู้ด้านพุทธศาสนาของครูบาฯ ที่ท่านได้เรียนมา ก็ทอแสงประกาย
นั่นคือ บนเส้นทางไปหาพระอรหันต์นั้น มีสังโยชน์ (หรือกิเลส) ที่ผูกมัดใจคนและสัตว์ให้ตกอยู่ในห้วงทุกข์ไว้ก่อนที่จะถึงนิพพาน ถึง 10 ข้อด้วยกัน
ผู้ก้าวข้าม สังโยชน์ 3 ด่านแรก จะได้เป็น โสดาบัน สังโยชน์ ทั้ง 3 นั้น ได้แก่
1. สักกายทิฏฐิ (การยึดติดกับการมีตัวตน)
2. วิจิกิจฉา (สงสัยลังเลในพระรัตนตรัยและกุศลธรรมทั้งหลาย)
3. สีลัพพตปรามาส (การยึดมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลก)
สังโยชน์ ขั้นที่ 2 มี 2 ด่าน ผู้ก้าวข้ามทั้ง 2 ด่านนี้ได้ จะเป็น สกิทาคามี หรือ สกทาคามี แปลว่า ผู้กลับมาได้อีกเพียงครั้งเดียว ซึ่งหมายถึงการบรรลุธรรมในระดับที่ 2 ด่าน 2 ขั้นนี้ ได้แก่
1. กามราคะ (พอใจในการได้เสพรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสต่างๆ) และ
2. ปฏิฆะ (คือความรู้สึกขุ่นเคือง หงุดหงิด เมื่อมีสิ่งใดมากระทบกระทั่งต่อใจ)
สังโยชน์ ขั้นที่ 3 มี 5 ด่าน ผู้ก้าวข้ามทั้ง 5 ด่านนี้ได้ จะเป็น อนาคามี แปลว่า ได้บรรลุธรรมในขั้นที่ 3 แล้ว สังโยชน์ ขั้นสูง 5 ด่าน ได้แก่
1. รูปราคะ (ความพอใจในรูปธรรม) 2. อรูปราคะ (ความพอใจในอรูปธรรม)
3. มานะ (ความสำคัญตนว่าเป็นนั่น เป็นนี่) 4. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่านของจิต)
และ 5. อวิชชา (ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4 หนทางดับทุกข์ ซึ่งได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)
และเมื่อก้าวข้ามสังโยชน์ทั้ง 10 ด่านนี้ไปได้ ก็จะได้เป็น อรหันต์ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากกิเลสทั้งปวง
ด้วยตระหนักใน 10 ด่านที่จะต้องก้าวข้าม เพื่อไปบรรลุอรหันต์ ที่ วัดอรหันตา ครูบาศรีวิชัยจึงได้เห็นความสำคัญของการสร้างถนนเพื่อเชื่อมร้อยโลกอดีตกับปัจจุบัน โดยอาศัยรถยนต์และเสาไฟฟ้าเป็นตัวเชื่อมในขณะนั้น
ขณะเดียวกัน ก็สร้าง 3 วัดขึ้นมาบนเส้นทางสายนี้ ก่อนที่จะเดินทางไปถึงวัดอรหันตา ให้เป็น 4 ระดับขององค์ความรู้สำคัญยิ่งของพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกทั่วไปและผู้สนใจพึงเรียนรู้และตระหนักเสมอๆ
ทั้งนี้ ก็เพื่อย้ำเตือนพุทธศาสนิกและคนทั้งปวงที่ผ่านทางสายนี้ว่า นี่คือเส้นทางธรรม แต่ละวัดมีเรื่องและภาพกิเลสที่คนเราต้องเผชิญและเราจะฝ่าข้ามแต่ละด่านไปอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ของแต่ละคน และการที่แต่ละวัดจะมีข้อมูลและองค์ความรู้อย่างไรบ้างเพื่อให้การศึกษาแก่ผู้คนที่แวะเวียนผ่านไปมาในปัจจุบัน ด้วยจำนวนผู้คนและความเร็วที่ไม่อาจเทียบได้เลยกับยุคแรกของการสร้างวัดในสมัยพญากือนา 500 กว่าปีก่อน
จากคำบอกเล่าที่สืบต่อกันมา การที่วัดโสดาบันอยู่ใกล้กับจุดเริ่มต้นของงานสร้างถนนมากตลอดจนวัดสกิทาคามี ที่ห่างออกไปเป็นลำดับที่ 2 ก็อยู่ไม่ไกลนัก งานสร้างวัดจึงคืบไปอย่างรวดเร็ว และพัฒนาเรื่อยมา
การที่วัดสกิทาคามี มีพุทธศาสนิกชาวม่าน (พม่า) และไต (ไท-ใหญ่) ที่มีฐานะดีเข้าไปมีบทบาท วัดจึงมีสิ่งก่อสร้างที่งดงามและเป็นแบบม่าน-ไต อีกทั้งที่นั่นเป็นที่ตั้งของหน้าผาที่ลาดชันและน้ำตกที่งดงาม และยังเป็นจุดพักสำคัญของการเดินขึ้นลงดอยสุเทพเนิ่นนานนับแต่สมัยพญากือนาเรื่อยมา
วัดนี้จึงเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “วัดผาลาด” ของผู้คน
ส่วนในระยะหลังจากครูบาศรีวิชัยถูกเรียกไปไต่สวนครั้งที่ 2 ที่กรุงเทพฯ ในช่วงปี 2478-2479 หลังสร้างทางเสร็จไม่นาน มีข่าวลือสารพัดที่เชียงใหม่-ลำพูนว่าท่านอาจจะไม่ได้กลับขึ้นเหนืออีกเลย
ขณะเดียวกัน พระสงฆ์ สามเณรจำนวน 100 กว่าวัดที่มาชุมนุมกันในวันลงจอบแรก (9 พฤศจิกายน 2477) และได้ร่วมกันประกาศดังๆ ต่อหน้าผู้มาร่วมงานลงจอบแรกทั้งหมดว่า ต่อจากนี้ จะขอฟังคำสั่งของครูบาศรีวิชัยเท่านั้น จะไม่ขอขึ้นต่อมหาเถรสมาคมที่กรุงเทพฯ อีก โดยไม่มีการบอกกล่าวแก่ครูบาฯ มาก่อน
ส่งผลให้หลังจากครูบาฯ ถูกส่งตัวไปไต่สวน พระสงฆ์-สามเณรเหล่านั้นก็ถูกตามมาไต่สวนในแต่ละท้องถิ่น หลายรูปหลบหนีภัยไปฝั่งเชียงตุงหรือแสนหวี หลายรูปถูกถอดออกจากตำแหน่งในวัด หรือต้องลาสิกขา หรือยอมรับผิดต่อสิ่งที่ได้ทำมาก่อนหน้า และสาบานว่าจะขออยู่กับมหาเถรสมาคมตลอดไป
ในสภาพดังกล่าว คณะสงฆ์ที่วัดโสดาบัน จึงตัดสินใจเชิดชูเกียรติครูบาฯ ที่เคารพด้วยการเปลี่ยนชื่อว่า “วัดศรีโสดา” แทนโสดาบัน ตามชื่อ “ศรีวิชัย” ของผู้นำการสร้างถนนสายนี้
ส่วนครูบาศรีวิชัยหลังการไต่สวนที่กรุงเทพฯ ก็กลับคืนเมืองลำพูนในเดือนมิถุนายน 2479 และมิได้หวนกลับมาที่เวียงเชียงใหม่อีกเลยจนอาพาธและละสังขารในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2482
พระสงฆ์บางท่านเล่าว่า วัดอนาคามี อันเป็นวัดที่ 3 อยู่ในระยะก่อนที่จะถึงวัดอรหันตาในราว 3-5 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ม่อนพญาหงส์ มีการปักหมุดหมายสร้างวัดไว้ตั้งแต่การสร้างเส้นทางนี้ในช่วงปี 2477-2478 และยังได้สร้างพระธาตุองค์เล็กๆ ด้วย ณ ที่นั้นและยังคงอยู่
บัดนี้ 90 ปีการสร้างถนนสายสำคัญผ่านไปแล้ว ชื่อเสียงและเกียรติภูมิของครูบาศรีวิชัยได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมา ทั้งในวาระ 90 ปีนี้ และอีก 10 ปีข้างหน้า และที่สำคัญ ครบรอบวาระชาตกาล 150 ปี (11 มิถุนายน 2421-11 มิถุนายน 2571) หรืออีก 3 ปีข้างหน้า ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนก็กำลังร่วมกันเสนอต่อองค์การยูเนสโกให้มอบตำแหน่ง “ครูบาศรีวิชัย-บุคคลสำคัญของโลก”
คำส่งท้าย
เรามีวัดมากมายในประเทศนี้ (ราว 43,000 วัด) วัดจำนวนมากเน้นการทำบุญสุนทานและการสร้างถาวรวัตถุ หลายวัดมีจุดเด่นมากที่ให้การศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์-โบราณคดีและพุทธศิลป์แก่ผู้ไปชม
ผมใคร่เรียนเสนอ 3 ข้อนี้ ให้ล้านนาและสังคมไทยได้พิจารณา
1. ในสถานการณ์ที่ไม่มีวัดไหนรวม 4 วัดเข้ามารวมกันเป็นชุดประวัติศาสตร์ล้านนาและพุทธศาสนาที่ชัดเจนเช่นนี้ ขอเสนอทั้ง 4 วัดถือเอาประวัติศาสตร์และจุดเน้นของเส้นทางการไปสู่พระอรหันต์เป็นงานหลักของทั้ง 4 วัดเพื่อให้การศึกษาที่สำคัญยิ่งแก่พุทธศาสนิกชนที่ไปเยือนอย่างเข้มข้น
2. รื้อพื้น วัดอนาคามี ตามเจตนารมณ์ดั้งเดิมของครูบาศรีวิชัย ก็จะเป็นกุศลผลบุญที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากที่ผ่านมา 90 ปี ยังไม่มีการสร้างหรือปรับปรุงสิ่งใด ณ วัดดังกล่าว ขณะที่อีก 3 วัด อาจมีการสร้างบางส่วนที่ห่างจากเจตนารมณ์ 90 ปีไปบ้างหรือไม่
คณะสงฆ์ของเชียงใหม่-ลำพูนและทั่วล้านนาจะจัดทำโครงการ “อนาคามีศึกษาและ 4 วัดศึกษา” อย่างไรพร้อมกับขอรับฟังความเห็นจากทุกๆ ฝ่ายทั่วประเทศเพื่อสร้างวัดอนาคามีในยุคหลัง 90 ปีนี้ให้เป็นแบบอย่างตามเจตนารมณ์ของครูบาศรีวิชัย-พระสงฆ์ผู้เป็นแบบอย่างของชาวล้านนาและชาวพุทธทั้งหลาย
และสุดท้าย 3. นำเอาชื่อเดิมของทั้ง 4 วัดมาเป็นชื่อหลักของวัด ส่วนชื่อที่มีมาเดิมจะใส่วงเล็บต่อท้าย เพื่อให้ผู้คนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ พร้อมกับเล่าเรื่องอันสำคัญนี้ในรูปแบบที่หลากหลายของสื่อยุคไฮเทคปัจจุบัน
โลกก้าวไป วัตถุขยายตัวออกไปมากขึ้นๆ แต่หลักสำคัญและจิตวิญญาณของพุทธศาสนานั้นยิ่งต้องตอกย้ำ และก็ไม่ควรถูกลดทอนหรือห่างหายไปไหนแม้แต่นิดเดียว
90 ปีการสร้างถนนขึ้นดอยจึงควรเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ของผองเราจะได้กลับไปศึกษาและทบทวน…
ชีวิต ผลงาน และความคิดตลอดจนวิถีธรรมอันทรงคุณค่าของครูบาศรีวิชัยโดยเฉพาะในวาระสำคัญ 90 ปี และ 150 ปีที่จะถึงจึงควรจะเป็นประทีปส่องทางเราชาวพุทธทั้งหลายได้ก้าวไปบนเส้นทางธรรมที่ท่านได้ปูทางไว้ให้…สาธุ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต


