

บทความต่างประเทศ
อินเดีย-ปากีสถาน
กับสงครามนิวเคลียร์
โลกจะให้ความสนใจต่อสงคราม “ย่อม-ย่อม” ระหว่างอินเดียกับปากีสถานเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาน้อยกว่านี้ หากปราศจากข้อเท็จจริงที่ว่า ทั้งอินเดียและปากีสถาน ต่างเป็นชาติที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง
ความสูญเสียจากศึกแคชเมียร์ครั้งล่าสุดนี้ ไม่ได้ลุกลามขยายวงไปถึงขั้นนั้น แต่ก็กลายเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกได้เป็นอย่างดีว่า จริงๆ แล้ว สงครามนิวเคลียร์นั้น อาจเกิดเป็นจริงขึ้นได้โดยง่ายดายเพียงใด
การลุกลามบานปลายของเหตุปะทะกันครั้งนี้ ถูกระงับยับยั้งโดยการเข้าแทรกแซงของสหรัฐอเมริกา นำไปสู่การประกาศหยุดยิงกันขึ้นเมื่อ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางอาการอกสั่นขวัญแขวนของนานาประเทศว่าอาจนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบระหว่างคู่กรณีทั้งสอง
แต่ก่อนที่จะหยุดยิง ทางการปากีสถานนอกจากจะประกาศการตอบโต้ทางการทหารโดยปกติแล้ว ยังประกาศเรียกประชุมสำนักงานบัญชาการแห่งชาติ (เอ็นซีเอ National Command Authority-NCA) ที่ทำหน้าที่ควบคุมและตัดสินใจในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในคลังแสงของตน
ไม่ว่าการเรียกประชุมดังกล่าวนี้จะเป็นไปในเชิงสัญลักษณ์ เชิงยุทธศาสตร์ หรือเป็นไปเพื่อดำเนินการจริงก็ตามที
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงสะท้อนว่า สงครามนิวเคลียร์อาจเกิดขึ้นได้ง่ายมากเท่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมายังแสดงให้เห็นว่า โลกหลีกเลี่ยงหายนภัยศึกนิวเคลียร์ได้อีกครั้งอย่างหวุดหวิด จวนเจียนเต็มที
เพราะเพียงไม่นานถัดมา นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ก็ออกมาประกาศอย่างเต็มปากเต็มคำว่า อินเดียจะไม่อดทนกับ “การใช้นิวเคลียร์มาแบล็กเมล์”
และใครก็ตามที่ใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างข่มขู่ “จะถูกโจมตีตอบโต้อย่างแหลมคมและเด็ดขาด”
จากข้อมูลที่องค์กรวิชาการอิสระอย่าง “สถาบันวิจัยเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ สตอกโฮล์ม” เก็บรวบรวมเอาไว้และเผยแพร่ออกมาหลังสุดเมื่อ 24 มกราคม 2024 โลกเรามีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ประมาณ 12,121 หัวรบ
ส่วนใหญ่ คือ 9,585 หัวรบ เป็นหัวรบที่จัดเก็บอยู่ในคลังสรรพาวุธทางทหาร อีก 3,904 หัวรบ คือส่วนที่ติดตั้งอยู่ในจุดประจำการทางทหารพร้อมใช้งาน ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจาก 1 ปีก่อนหน้านั้นถึง 60 หัวรบ
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ จากจำนวนทั้งหมดทั่วโลกเหล่านั้น มีที่ประจำการอยู่ในอินเดียและปากีสถานอยู่ประมาณชาติละ 170 หัวรบด้วยกัน แถม คริสโตเฟอร์ แคลรี ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการทหารของมหาวิทยาลัย แอลแบยี ในสหรัฐอเมริกาบอกด้วยว่า ทั้งอินเดียและปากีสถาน ต่างก็มีขีดความสามารถในการยิงหัวรบนิวเคลียร์ทั้งจากบนบก, ทางอากาศ และจากทางน้ำ เหมือนๆ กันด้วยอีกต่างหาก
แคลรีระบุว่า อินเดียอาจมีศักยภาพในการโจมตีด้วยนิวเคลียร์จากทางอากาศและทางน้ำ เหนือกว่าปากีสถาน
ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะนโยบายหรือหลักการนิวเคลียร์ (nuclear doctrine) ของทั้งสองประเทศแตกต่างกัน
หลังการทดลองนิวเคลียร์ครั้งล่าสุดในปี 1998 อินเดียประกาศใช้หลักการ “ไม่เป็นผู้เริ่มใช้อาวุธนิวเคลียร์” อย่างเป็นทางการ
ก่อนจะลดหย่อนลงมาในปี 2003 ด้วยการสงวนสิทธิ์ที่จะใช้นิวเคลียร์ตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธเคมี หรืออาวุธชีวภาพ
ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดทางให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการโจมตีก่อนโดยมีเงื่อนไขนั่นเอง
ในปี 2016 ทุกอย่างดูคลุมเครือมากยิ่งขึ้น เมื่อ มโนหาร ปาร์ริการ รัฐมนตรีกลาโหม แสดงความเห็นว่า อินเดียไม่ควรถูกผูกมัดด้วยนโยบายที่ว่านี้ แม้จะอธิบายเสริมในเวลาต่อมาว่าเป็นความเห็นส่วนตัวก็ตาม
ปากีสถานกลับตรงกันข้าม ไม่เคยประกาศหลักการนิวเคลียร์ของตนเองออกมาอย่างเป็นทางการ
เพียงมีการพูดพาดพิงถึงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้น อาทิ คาหลิด คิดะวาอี หัวหน้าแผนกแผนยุทธศาสตร์ประจำสำนักงานนิวเคลียร์แห่งชาติ ที่ระบุเมื่อปี 2001 ว่า ปาถีสถานจะใช้นิวเคลียร์ก็ต่อเมื่อเกิดการสูญเสียดินแดน, ถูกบีบคั้นทางด้านเศรษฐกิจ และถูกบีบคั้นทางการเมือง
ต่อมาในปี 2002 เพอร์เวซ มูชาร์ราฟ ประธานาธิบดีปากีสถานในเวลานั้น ออกมายืนยันชัดแจ้งว่า อาวุธนิวเคลียร์ของปากีสถาน “พุ่งเป้าไปที่อินเดียเท่านั้น”
และจะใช้ก็ต่อเมื่อ “ความเป็นรัฐชาติ” ของปากีสถานตกเป็นเดิมพันเท่านั้น
ว่ากันว่า ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายร่ำๆ จะเปิดศึกนิวเคลียร์กันขึ้นมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งหรือสองครั้ง
ไมค์ ปอมเปโอ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยไว้ในบันทึกความทรงจำของตัวเองว่า คืนหนึ่งเมื่อปี 2019 ระหว่างการเผชิญหน้าของสองประเทศ ตนถูกปลุกด้วยโทรศัพท์จากอินเดีย แจ้งให้ทราบถึงความกังวลว่า ปากีสถานกำลังเตรียมการใช้อาวุธนิวเคลียร์
อีกครั้ง ระหว่างเกิดสงครามอินเดีย-ปากีสถานเมื่อปี 1999 ที่เรียกว่า สงครามคาร์กิล ชัมชาด อาเหม็ด รัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถานในเวลานั้น แถลงเตือนว่า ปากีสถานจะ “ไม่ลังเลที่จะใช้อาวุธชนิดหนึ่งชนิดใด” ในการปกป้องดินแดนของตนเอง
อีกหลายปีต่อมา บรูซ รีดเดล เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกา ออกมาเปิดเผยว่า มีข่าวกรองในช่วงเวลานั้นที่แสดงว่าปากีสถานกำลังเตรียมการนำอาวุธนิวเคลียร์เข้าประจำการเพื่อใช้งาน
กระนั้น ทั้งสองกรณีนี้มีผู้เชี่ยวชาญออกมาปฏิเสธกันอยู่บ่อยครั้ง โดยเชื่อว่า ไมค์ ปอมเปโอ น่าจะขยายบทบาทของฝ่ายอเมริกันเกินจริงไปมาก หรือในกรณีของสงครามคาร์กิล ปากีสถานเองก็ตระหนักดีว่า ไม่มีการล้ำแดนเข้ามาจากทางฝ่ายอินเดีย
ผู้สันทัดกรณีชี้ว่า ในความเป็นจริงแล้ว ชนวนเหตุที่จะก่อศึกนิวเคลียร์ระหว่างสองประเทศนี้มีน้อยมาก และยังเสี่ยงสูงมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอันตรายจากภาวะหลังการระเบิดของนิวเคลียร์ ที่เรียกว่า นิวเคลียร์ แฮงก์โอเวอร์ ซึ่งจะก่ออันตรายต่อทั้งสองประเทศที่ตั้งอยู่ติดกัน
ดังนั้น นิวเคลียร์ของปากีสถานและอินเดีย จึงเป็นเรื่องของการ “ป้องปราม” มากกว่าอย่างอื่น
ทว่า นั่นไม่ได้หมายความว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดศึกนิวเคลียร์ในเอเชียใต้จะหมดไปโดยสิ้นเชิง
เพราะนิวเคลียร์อาจเกิดขึ้นได้แม้แต่จากอุบัติเหตุ
ตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนมีนาคม 2022 ที่อินเดียบังเอิญยิงขีปนาวุธที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้ ข้ามแดนไปยังปากีสถานถึง 124 กิโลเมตร ก่อนตกลงทำความเสียหายให้เกิดขึ้นกับทรัพย์สินพลเรือนด้วยอีกต่างหาก
โชคดีที่ในเวลานั้นความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศอยู่ในระดับดี และไม่มีเหตุลุกลามบานปลายใดๆ เกิดขึ้น หลายเดือนต่อมา นายทหารอากาศอินเดีย 3 นาย ถูกไล่ออกจากราชการเพราะเหตุนี้
นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมในทุกๆ ที่ที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ จึงเต็มไปด้วยอันตรายอยู่เสมอมา
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022