
ช่างแกะสลักป้ายหินแห่งเกาะคัมปา | เรื่องสั้น : รัฐ แสงเทียน

เรื่องสั้น | รัฐ แสงเทียน
ช่างแกะสลักป้ายหินแห่งเกาะคัมปา
ป้อมปราการแห่งเคอนิกชไตน์ราวกับทหารหมู่หนึ่งหมอบนิ่งอยู่บนภูเขาสูง ลอบสังเกตการณ์ขบวนรถไฟจากปรากสู่มิวนิกที่กำลังลดความเร็วเลียบแล่นแหวกผ่านหิมะแผ่วโปรย
“คิดอะไรอยู่หรือคะ” เซนี่ถามขึ้นขณะยกฝ่ามือขึ้นทาบกระจก
หินโมลดาไวต์บนหัวแหวนของเธอส่งประกายเขียวหม่น ยิ่งทำให้ผมนึกดวงตาของอังเดร นึกถึงผ้ากันเปื้อนลายตารางสีแดงดำ
ผมนึกทบทวนเหตุการณ์เจอที่สุสานกลางเมื่องเก่าแก่แห่งนั้น
1.
“สุสานแต่ละแห่งสะท้อนความเป็นอยู่ของแต่ละเมือง หากมองดีๆ เราจะเห็นสภาพและลำดับชั้นทางสังคม สุสานโอลชานีเต็มไปด้วยร่องรอยการซ้อนทับของชีวิต ประวัติศาสตร์ ผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดครั้งใหญ่ ผู้รุกราน ผู้ปกป้อง ผู้ยิ่งใหญ่และผู้ถูกหลงลืมต่างก็รวมกันอยู่ที่นี่”
อังเดรชี้ป้ายที่พ้นเงาไม้ออกมา แสงไฟสีส้มส่องให้เห็นร่องรอยเติมให้สูงขึ้นพร้อมกับนามใหม่ที่เพิ่งถูกเพิ่มเข้ามาในป้ายเดียวกัน
“คุณเห็นอะไรบ้างจากป้ายหินแผ่นนั้น” คำถามนั้นแท้ๆ ที่ทำให้เขาดูเหมือนครูที่กำลังสอนประวัติศาสตร์ มากกว่าจะเป็นมัคคุเทศก์ แม้ว่าผ้ากันเปื้อนลายตารางจะยืนยันความจริงซึ่งเขาเพิ่งยอมรับออกมาว่าเป็นคนงานโรงงานขนมปังที่เพิ่งเลิกงานก็ตาม
“ป้ายของตระกูล” สายตานั่นทำให้ผมพลอยรีบรนนึกหาคำตอบ “ที่นี่คงอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ล่างสุดเป็นผู้จากไปก่อนแล้วลำดับต่อมา”
“เยี่ยมเลย” เขาว่า ใบหน้าขาวซีดของเขาไหวพร่า เหมือนริมฝีปากไม่ขยับ “แต่ป้ายที่มีชื่อแต่ละคนนั่นมีเฉพาะบางครอบครัว”
เขาชี้ให้ดูอีกป้าย เป็นหินขนาดใหญ่ที่สลักว่า “Rodina Old?ichova”
มีป้ายหินอ่อนขนาดเล็กวางบนพื้นพิงอยู่กับป้ายใหญ่ ทางซ้ายมือเหนือชื่อหญิงสาว เหนือนาม ‘Denisa Old?ichova 1953-1979’ สลักเป็นรูปดอกหญ้า ถัดไปภาพถ่ายในกรอบไม้วางอยู่ตรงกลางกับป้ายเล็กอีกชิ้นวางเคียงกันจึงอยู่ในเงามืดของไม้ใหญ่ และก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปหยิบมาส่องกับแสงไฟ เซนี่ก็เรียกเรา
“ทางนี้” เซนี่ซึงยืนห่างออกไปไม่มาก เธอดูตื่นเต้น ป้ายที่เธอชี้สลักว่า “Rodina Holanova”
เซนี่คล้องแขนผม ตั้งใจฟังอังเดรเล่าถึงชีวิตในช่วงปีสุดท้ายของคุณพ่อผู้เงียบงัน เขาเรียกกวีผู้นั้นว่าคุณพ่อผู้เงียบงัน เล่าถึงลูกสาวของกวี เล่าถึงสภาพจิตใจ ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากจนถึงช่วงเวลาความเงียบเหงาของเขาในอพาร์ตเมนต์ใจกลางกรุงปรากหลังลูกสาวเสียชีวิต
ลมวูบหนึ่งทำให้ถ้อยคำวูบแว่วราวกับเสียงเล่าที่เดินทางไกลมาจากทศวรรษก่อนหน้า
“ไม่ใช่แค่วัลตาวา แม่น้ำไหนๆ ที่เชี่ยวแสนเชี่ยวก็ดูนิ่งงัน เมื่อเรามองจากที่ไกลๆ” เขาเอ่ยประโยคนั้นซ้ำเพื่อสรุปชีวิตของโฮลัน
“บทกวีของโฮลันพาพวกคุณมาถึงนี่”
“ก็ไม่เชิง” เซนี่เล่าว่าบทกวีของเขาเป็นเพียงความทรงจำในวัยเยาว์ แม่ของเธอเคยอ่านกวีนิพนธ์เรื่องบาจาจาให้ฟังเมื่อเธอเพิ่งจำความได้ แต่มวลอารมณ์ความรู้สึกนั้นกลับติดตามเธอตลอดมา หลังย้ายไปโมราเวีย เธอพยายามหารวมบทกวีเล่มนั้นเพื่อจะอ่านซ้ำแต่ก็ไม่เคยเจออีกเลย ส่วนผมเคยอ่านรวมบทกวีเดอะวอลล์ และบทกวีอื่นๆ ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ
“ไม่เชิงก็มีส่วนล่ะ” เขาว่า “สะพานชาร์ลทอดนำผู้คนจากดินแดนหนึ่งไปสู่ดินแดนอื่น จากหลายๆ ดินแดนไปสู่จุดหมายของตัวเองสักที่ แต่สะพานทำให้พวกคุณเจอผม และมาที่นี่”
“และเวลานี้ กับนักปรัชญาในชุดผ้ากันเปื้อนลายตารางสีแดงหรือไงนี่แหละ” เซนี่หัวเราะ ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่ายืนอยู่ท่ามกลางสุสานในเวลากลางคืน
“แต่ก็นะ” เขาว่า “บางทีเราก็จดจำบางคนไปทั้งชีวิต จากดอกไม้หญ้าข้างทางที่เคยได้รับเพียงดอกเดียว”
อังเดรหันไปเด็ดหญ้าดอกหนึ่งที่ขึ้นข้างแผ่นป้ายของคุณพ่อเงียบงันมาวางลงที่แผ่นป้ายของเดนิซา
“เธอเกิดปีเดียวกับผม” เสียงเขาวูบแว่ว “หลังจากเธอเสียชีวิตไม่นานครอบครัวก็ลืมเธอ”
ผมรู้สึกว่าอากาศที่เย็นลงทำให้ใบหน้าที่ดูแก่กว่าเราห้าหกปีซีดลงกว่าเดิม
“ไปเที่ยวบ้านผมนะ ผมมีอะไรจะให้พวกคุณดู” ออกจะเร็วเกินไปสำหรับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งกันเมื่อครู่บนสะพานชาร์ล เซนี่หันมาสบตาผมก่อนจะป้องปากกระซิบ เธอเห็นว่าเขาไม่เหมือนคนที่นี่ แต่ก็ไม่อาจอธิบายความเห็นของเธอออกมา
2.
ตอนนั้นเราอยู่บนสะพานชาร์ล หิมะที่ตกหนักทำให้ผู้คนบางตา ผมกับซานี่เพิ่งกลับจากเลียบเลาะย่านสำคัญต่างๆ ในรอบนอก เรากินมื้อค่ำที่ร้านย่านโอลชานี
แสงไฟในกรุงปรากยามค่ำราวกับตั้งใจจัดวางสลับไม่ให้รบกวนค่ำคืน นอกจากยอดหลังยอดหลังคาของสถานที่สำคัญๆ แล้วพื้นที่อื่นๆ ราวกับกำลังพักผ่อนใต้ผ้าห่มความมืด
“ไหลเชี่ยวเหมือนกันนะ” ผมก็เอ่ยขึ้นขณะมองแสงสะท้อนในแม่น้ำวัลตาวา นึกถึงภาพแม่น้ำที่นิ่งราวกับเป็นลานน้ำแข็งเมื่อมองจากหน้าต่างห้องพักเมื่อตอนบ่าย เซนี่ไม่ตอบคำ หันไปสนใจนักดนตรีเปิดหมวกที่กำลังเก็บของเมื่อหิมะตกหนาขึ้น กระทั่งนักดนตรีคนนั้นถือกล่องใส่เครื่องดนตรีลับหายไปในความมืดทางฝั่งเกาะคัมปา ผมคิดว่าเหมือนจะเหลือแค่เราบนสะพาน
“ไม่ใช่แค่วัลตาวา แม่น้ำไหนๆ ที่เชี่ยวแสนเชี่ยวก็ดูนิ่งงัน เมื่อเรามองจากที่ไกลๆ” ไม่ใช่จากเซนี่ เสียงนั้นทำให้เราทั้งคู่หันไปมองพร้อมกัน
“สวัสดี” เราโบกมือ ทักทายขึ้นพร้อมกัน เซนี่กลับมาคล้องแขนผมอีกครั้ง
“ผม อังเดร โอลเดร็ช เป็นช่างแกะสลักหิน” เมื่อเห็นว่าเราต่างเลื่อนไปมองผ้ากันเปื้อนเก่าลายตาราง วงหน้าขาวซีดของเขาเผยยิ้มเลือนรางก่อนจะแนะนำตัวเองใหม่ “ผม อังเดร ทำงานในโรงงานขนมปังอีกฟากแม่น้ำ หลังเลิกงานผมเป็นช่างแกะสลักป้ายหินอ่อน”
แสงไฟต้องดวงตาของเขาเป็นสีเขียวเหมือนหินโมลดาไวต์วูบหรี่ราวเหนื่อยล้ากลับมาจากที่แสนไกล
ผมแนะนำตัวเอง
“และเธอ เซนี่” เธอยิ้มกว้าง เราแนะนำตัวเองว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจากมิวนิกมาเที่ยวบ้านของเธอ เราเพิ่งนั่งรถจากโมราเวียมาเพื่อรอต่อรถไฟจากกลับมิวนิกในวันพรุ่งนี้
เขาพยักหน้า ผันเสียง “เซนี่ เซนี่ ซาเนีย เซเนีย”
“แต่จู่ๆ เขาก็ไม่อยากไปเจอผู้คน” เซนี่หันมาใช้หมัดเคาะไหล่ผม “วันหนึ่งในปรากของเราจึงมีเพียงถ่ายรูปคู่กับป้ายอนุสรณ์ของวลาดิเมียร์ โฮลัน”
เธอเอ่ยถึงอาคารสีเหลืองชื่อยาวที่ผมเรียกไม่ถูกซึ่งเป็นที่อยู่ของป้ายอนุสรณ์กวีผู้นั้น
“ไปเยี่ยมเขาที่สุสานหรือยังครับ” เมื่อว่าเราส่ายหน้าเขาพูดต่อ “หลังลูกสาวเสียชีวิต เขาเงียบงันมากขึ้น เขาเสียชีวิตถูกฝังไว้ที่สุสานโอลซานี” อาจจะเป็นลมสายหนึ่งทำให้เสียงของอังเดรวูบแว่ว
“ไปกับผมได้นะ ผมกำลังจะไปที่นั่น”
3.
“เราก็พักที่นี่นะ” ซานี่ร้องด้วยความแปลกใจ “เราอยู่บนชั้นสาม” เธอเอ่ยเลขห้อง
“อ้อ เคยเป็นห้องของนักเขียนอีกคน” อังเดรว่า “ช่วงเดียวกับที่คุณพ่อผู้เงียบงันอยู่นี่ล่ะ ตอนที่เขาอยู่ มีคนแวะเวียนไปไม่ขาดเลยละ ผิดกับห้องของคุณพ่อผู้เงียบงัน”
นาฬิกาตีบอกเวลาสามทุ่มแว่วดังจากที่ไหนสักแห่ง
“นี่ห้องที่วลาดิเมียร์ โฮลัน เคยอยู่”
เขาชี้ผ่านหน้าต่างห้องหนึ่งซึ่งเปิดอยู่ไปยังตึกที่อยู่ถัดไป เรามองผ่านความมืดสุดตา…สะพานชาร์ลที่เราเพิ่งจากมา ความมืดและแสงไฟที่สลับกันทำให้มันดูไกลออกไปราวกับอยู่ห่างออกไปนับศตวรรษ
“ที่นี่ก็เหมือนที่อื่นๆ เมื่อวาน และศตวรรษก่อน ซ้อนทับเป็นวันนี้” เขาว่า “ตึกนั่น หรือห้องของผม ก็อาจเป็นอย่างอื่นในวันพรุ่งนี้”
ห้องของอังเดรอยู่ถัดไปอีกสองบาน
“อยู่คนเดียวหรือคะ” เขาส่ายหน้าขณะไขกุญแจโดยไม่มีเสียง
“ผมอยู่กับคนรัก เดนิซา” คำตอบของทำให้เซนี่หันมาสบตาผม ผมยักไหล่บอกเธอว่าคงไม่ใช่คนเดียวกับสุสานที่นั้นหรอก
คนรักที่เขาเอ่ยถึงยิ้มละไมให้เราจากกรอบบนผนัง ข้างกันเป็นภาพครอบครัวใหญ่กลางภาพเป็นรูปเด็กหญิงที่เพียงแวบก็รู้ได้ว่าเป็นคนรักของเขา ถัดไปเป็นชั้นวางหนังสือที่เขาบอกว่าครอบครัวของคนรักมอบให้พร้อมกับภาพนั้น
“ครอบครัวเธอบอกผมว่าเธอเสียชีวิตตอนอายุ 25”
“เท่ากับเราทั้งคู่ตอนนี้” เสียงเซนี่แผ่วลง “เสียใจด้วยนะคะ”
เขาพยักหน้า แววตาสีเขียวของเขานำสายตาเราไปสู่โต๊ะทำงานชิดผนัง บนนั้นมีป้ายหินอ่อนขนาดหนังสือ เมื่อเราขยับไปใกล้จึงรู้ว่าเป็นชื่อของเขาเอง
“คงสลักมาเยอะมานะคะ” เมื่อมีป้ายหินและเครื่องมือสลักวางอยู่ตรงหน้า เขาดูเป็นช่างสลักมากฝีมือมากกว่าคนงานโรงงานขนมปังธรรมดาๆ เราไม่อาจอธิบายความประณีตนั้นออกมาได้จึงใช้คำง่ายๆ “ฝีมือดี ละเอียดมากๆ เลยค่ะ”
แต่แทนที่จะยิ้ม เขากลับทำท่าครุ่นคิดหนักหน่วง
“แค่สองชิ้น” ไหล่ของอังเดรยกขึ้นสูงและลู่ลงอย่างแรง กระนั้นกลับไม่มีเสียงถอนหายใจ “ป้ายของคนรัก กับของตัวเอง”
4.
“คนตายปักป้ายให้ตัวเองไม่ได้นะ ไม่มีทางที่เขาจะปักป้ายให้ตัวเองได้” แววตามีแววหวั่นไหว ดูเหมือนอังเดรจะตระหนักดีว่าแม้ว่าเขาจะใช้เวลาทั้งชีวิตสลักเสลาป้ายหินอ่อนได้ดั่งตั้งใจ แต่เมื่อเขาตายลง ป้ายของเขาอาจไม่ถูกค้นพบ อาจมีคนค้นพบแต่กลับเปลี่ยนมันเสียใหม่ และบางทีเราก็ได้รับป้ายที่เราไม่ได้ตั้งใจ
“ลองเขียนชื่อตัวเองสิ ผมจะลองออกแบบ รับรองมันจะสวยที่สุดเลยล่ะ” แววตาสีเขียวเหมือนหินโมลดาไวต์บนหัวแหวนของซานี่วาบต้องไฟจ้องมาทางผม “มีอะไรที่เป็นที่สุดของชีวิตของพวกคุณ เขียนให้ผมด้วยนะ” เขากำชับ
“X?nie Jind?i?kaova” ข้างกันเขียนว่าครอบครัว
ผมรับกระดาษแผ่นนั้นจากเซนี่ เมื่อเขียนชื่อเสร็จผมก็ชะงักค้าง เจอแต่ความว่างเปล่า ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดที่สุดของชีวิตผม เป็นตอนนั้นเองที่อังเดรพูดขึ้นราวกับรับรู้ความว่างเปล่าของผมมาตลอด
“มันต้องมีสิ ค่อยๆ ลองคิดดูนะ ผมมีงานสลักหินเป็นชีวิตจิตใจของผม แม้ว่าทั้งชีวิตผมทำงานที่ผมพอใจได้แค่สองชิ้นนี้เท่านั้น ” ยิ้มปลอบโยนจากเขาดูเศร้าพิกล
“เราแกะสลักป้ายหินด้วยเครื่องมือที่เรามี ซิกมุน ฟรอยด์ ยาโรสลาฟ ไซเฟิร์ต กาเรล ชาเปก และวลาดิเมียร์ โฮลัน สลักป้ายป้ายของตัวเองด้วยเครื่องมือของตัวเอง”
อังเดรหยิบกรอบรูปที่หันหลังอยู่บนชั้นหนังสือมาวางกรอบไม้นั้นบนโต๊ะ เลื่อนมันมาตรงหน้าเรา ในกรอบนั้นคือบทกวีของวลาดิเมียร์ โฮลัน เขียนด้วยลายมือ และเริ่มเล่าย้อนถึงที่มาของมัน
5.
Meeting In A Lift
We stepped into the lift. The two of us, alone
We looked at each other and that was all.
Two lives, a moment, fullness, bliss.
At the fifth floor she got out and I went on up
knowing I would never see her again,
that it was a meeting once and for all,
that if I followed her I would be like a dead man in her tracks
and that if she came back to me
it would only be from the other world.
Vladimir Holan
บทกวีชิ้นนี้เดิมเขียนเป็นภาษาเช็ก แต่ชิ้นนี้พิเศษที่กวีคัดฉบับแปลภาษาอังกฤษตามคำขอของนักสะสม มันไม่เพียงเป็นพยานแห่งช่วงเวลาแห่งความยากลำบากหลังถูกรัฐบาลห้ามไม่ให้ตีพิมพ์หนังสือของกวี หากต้นฉบับลายมือกระจายออกไปสู่มือของผู้สะสมบทนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันหัวใจของช่างสลักหินแห่งเกาะคัมปาด้วย
คนรักของอังเดรไม่ได้เสียชีวิตตอนอายุยี่สิบห้า แต่เป็นสองปีต่อมาหลังจากเขากลับจากร่ำเรียนที่เวียนนา เธอเสียชีวิตหลังจากคลอดลูกคนที่สอง เขารู้เรื่องที่ครอบครัวขอให้เธอแต่งงานกับเจ้าของโรงงานขนมปังนั้นมาตลอด แต่เขาไม่เคยคิดเข้าไปวุ่นวาย เมื่อกลับมาถึงปรากและสมัครงานที่นั่น แต่เขาก็ไม่มีโอกาสพบเจอเธออีกเลย กระทั่งหลังเธอเสียชีวิตไปแล้วกว่าปีเขาจึงค้นพบสุสานของเธอซึ่งแยกออกไปจากตระกูลของสามีไปไกล เมื่อรู้ว่าหลังจากสามีของเดนิซาแต่งงานใหม่ไม่นานครอบครัวนั้นก็ลืมเธอ
อังเดรสร้างป้ายหินตระกูลตัวเองและแอบเปลี่ยนที่สุสานของเธอในค่ำคืนหนึ่ง
6.
คงเช่นเดียวกันเมืองอื่นๆ ทั่วโลก ฟากด้านที่คนพลุกพล่านกับฟากด้านเงียบเหงาที่ดำเนินไปคู่ขนานต่างก็เป็นปราก เมื่อวานและศตวรรษก่อน แต่ละช่วงเวลาซ้อนทับรวมเป็นวันนี้และพรุ่งนี้
เราออกจากห้องพักตอนเช้า และงุนงงเมื่อเดินผ่านชั้นสองพบว่าของห้องของอังเดรกลายเป็นห้องโถงโล่งกว้าง ผมนึกถึงสุสาน นึกถึงโลกใบเงียบงันซ้อนอยู่ในโลกพลุกพล่านรอบราย เซนี่เห็นด้วยเมื่อผมบอกว่าอยากไปเพื่อดูอีกครั้ง
ไม้ใหญ่ห่มทางเดินร่มครึ้ม เซนี่คล้องแขนผมขณะกึ่งวิ่งเข้าไปในสุสานเก่าแก่ ชุดสีดำและอาการวาดแขนอย่างรีบรุดคงทำให้เรามองคล้ายค้างคาวคู่หนึ่ง คลอเค้าขณะพุ่งโผแหวกผ่านป้ายหินเรียงราย จนถึงป้ายหนึ่งจึงชะงัก สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมตะลึงงัน
เยื้องกับสุสานของคุณพ่อผู้เงียบงันใต้ร่มไม้ มีป้ายเล็กๆ วางพิงบนฐานล่างของป้ายตระกูล ‘Rodina Old?ichova’
ชื่อคนรักของอังเดร เหนือชื่อสลักเป็นรูปดอกหญ้า ภาพถ่ายในกรอบไม้วางอยู่ตรงกลาง ถัดไปเป็นป้ายหน้าหลุมศพที่เมื่อคืนอยู่ในเงามืดของต้นเบิร์ช เหนือนามนั้นเป็นรูปเครื่องมือสลักหิน ‘Andre Old?ich 1953-1981’
ป้อมปราการแห่งเคอนิกชไตน์ราวกับทหารหมู่หนึ่งหมอบนิ่งอยู่บนภูเขาสูง ลอบสังเกตการณ์ขบวนรถไฟจากปรากสู่มิวนิกที่กำลังลดความเร็วเลียบแล่นแหวกผ่านหิมะแผ่วโปรย
ผมยังคงสะท้านสั่นแม้จะจากกรุงปรากมาไกลแล้วก็ตาม
“มีอะไรที่เป็นที่สุดของชีวิตของพวกคุณ เขียนให้ผมด้วยนะ” เสียงของเขากึกก้องวนเวียนไปมาในหัว “มันต้องมีสิ ค่อยๆ ลองคิดดู ผมมีงานสลักหินเป็นชีวิตจิตใจของผม แม้ว่าทั้งชีวิตผมทำงานที่ผมพอใจได้แค่สองชิ้นนี้เท่านั้น”
ผมยังคงสะท้านสั่น ไม่เพียงตระหนักว่าคนที่เราคุยด้วยเมื่อคืนได้ตายก่อนเราเกิดกว่าสามสิบปี แต่เพราะหวั่นไหวเมื่อค้นทุกซอกทุกมุมชีวิตแล้วพบว่าเจอแต่ความว่างเปล่า ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดที่สุดของชีวิต..ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดที่สุดของชีวิต
เมฆอีกหย่อมเรี่ยต่ำทำให้ดูเหมือนเป็นใบของไม้โกร่นทิ้งใบแต่ต้นฤดู สายตาผมยังจับอยู่แสงแดดซึ่งลอดผ่านหย่อมเมฆครึ้มดำลงมาต้องเกล็ดหิมะทำให้มันกลายเป็นฝนสีตะกั่วหยาดลงสู่คดโค้งของแม่น้ำเอ็ลเบอร์ •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต


