

บทความพิเศษ | เทวินทร์ อินทรจำนงค์
ปรับ ครม. 2568
: ทางเลือกและทางรอด
ของรัฐบาลในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ
ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่รุมเร้า การปรับ ครม. หากเกิดขึ้นจะไม่ใช่เป็นเพียงการโยกย้ายตำแหน่ง แต่เป็นโอกาสสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน
หากรัฐบาลตัดสินใจผิดพลาด ผลลัพธ์อาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง หรือแม้กระทั่งการยุบสภาในอนาคตอันใกล้
สาเหตุที่กดดันให้ต้องปรับ ครม.
1) ปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้า
– ค่าครองชีพพุ่งสูง ราคาอาหารและพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่กัดกินกำลังซื้อของประชาชน
– รายได้เกษตรกรตกต่ำ ราคาพืชผลเกษตร เช่น ข้าวและยางพาราอยู่ในระดับต่ำ จนส่งผลทำให้เศรษฐกิจฐานรากอ่อนแอ
– การส่งออกชะลอตัว อุตสาหกรรมหลักกำลังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน
2) ผลงานรัฐมนตรีที่ไม่ตอบโจทย์
– กระทรวงพาณิชย์ ล้มเหลวในการควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ที่กำลังสร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชน
– กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขาดนโยบายในการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม
– กระทรวงการคลัง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การแจกเงินดิจิทัล ยังไม่ปรากฏเห็นผลชัดเจน และต้องเลื่อนออกไป
3) แรงเสียดทานทางการเมือง
– ความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทย การต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในพรรคที่สร้างรอยร้าวภายใน
– แรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยและพรรคอื่นๆ อาจเรียกร้องเรื่องโควต้ารัฐมนตรีเพิ่มเติม
– ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพ หากบริหารจัดการไม่ดี อาจนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลได้
สามสูตรการปรับ ครม.
: ทางเลือกและผลลัพธ์
สูตรที่ 1 : ปรับใหญ่ทีมเศรษฐกิจ (“อิ๊งค์ 1”)
– แนวทาง : เปลี่ยนรัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจหลักทั้งหมด พร้อมกับแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ขึ้นมาทำงาน
– ผลดี : ส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหา ช่วยรื้อฟื้นความเชื่อมั่นจากประชาชนและจากนักลงทุน
– ความเสี่ยง : อาจสร้างความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล หากผลงานใหม่ไม่ดีขึ้นในระยะสั้น
สูตรที่ 2 : ปรับแบบประนีประนอม
– แนวทาง : ปรับเปลี่ยนเฉพาะบางตำแหน่งในกระทรวงที่มีปัญหา มีการรักษาสมดุลระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล
– ผลดี : ลดแรงเสียดทานภายในรัฐบาล รักษาเสถียรภาพในระยะสั้น
– ความเสี่ยง : อาจถูกมองว่าเป็นการปรับแบบผิวเผิน ไม่ตอบโจทย์ความคาดหวังของประชาชน
สูตรที่ 3 : ไม่ปรับ ครม. แต่เพิ่มนโยบายเร่งด่วน
– แนวทาง : รักษาทีมเดิม แต่เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดภาษี หรือการอุดหนุนราคาพลังงาน
– ผลดี : หลีกเลี่ยงความขัดแย้งภายในทีมงานรัฐบาล
– ความเสี่ยง : ความเชื่อมั่นของประชาชนอาจลดลงต่อเนื่อง และเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากฝ่ายค้าน
แนวทางปฏิบัติเพื่อกอบกู้วิกฤต
1) สร้าง “ทีมเศรษฐกิจเฉพาะกิจ”
– แนวทาง : จัดตั้งคณะทำงานพิเศษที่มีทั้งข้าราชการ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชน เพื่อแก้ปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าเกษตร
– ตัวอย่าง : ออกแบบแผนดำเนินงานเร่งด่วนภายใน 90 วัน เช่น ควบคุมราคาน้ำมันและพืชผลการเกษตร พร้อมจัดตั้งกองทุนสำหรับช่วยเหลือเกษตรกร
– ผลลัพธ์ที่คาดหวัง : เพิ่มความเชื่อมั่นในระยะสั้น และสร้างผลงานที่จับต้องได้
2) สื่อสารอย่างโปร่งใสและรับฟังเสียงของประชาชน
– แนวทาง : จัดเวทีสาธารณะและรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน รวมถึงใช้โซเชียลมีเดียเผยแพร่ข่าวสารความคืบหน้าในนโยบายของรัฐบาล
– ตัวอย่าง : สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ประชาชนเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบาย หรือจัดถ่ายทอดสดรายงานผลงานรัฐมนตรี เป็นต้น
– ผลลัพธ์ที่คาดหวัง : เพิ่มความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน
3) ปรับ ครม. ควบคู่กับการกำหนด KPI ที่ชัดเจน
– แนวทาง : หากมีการปรับ ครม. ต้องมีการกำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น “ลดค่าครองชีพ 5% ภายใน 6 เดือน” หรือ “เพิ่มรายได้เกษตรกร 10% ใน 1 ปี” เป็นต้น
– ตัวอย่าง : เผยแพร่รายงานผลงานรัฐมนตรีทุกไตรมาสผ่านการสื่อสารต่อสาธารณะ
– ผลลัพธ์ที่คาดหวัง : สร้างความรับผิดชอบและความไว้วางใจจากประชาชน
สถานการณ์สมมุติ
: ผลลัพธ์ที่ต้องเตรียมรับมือ
ปรับใหญ่ทีมเศรษฐกิจ ผลลัพธ์ระยะสั้น ตลาดหุ้นและนักลงทุนตอบรับในเชิงบวก
ความเสี่ยงระยะยาว เสี่ยงต่อความขัดแย้งภายในถ้าหากผลงานไม่ดีขึ้น
ปรับแบบประนีประนอม ผลลัพธ์ระยะสั้น ลดแรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาล แต่อาจสูญเสียคะแนนนิยมจากประชาชน
ไม่ปรับ ครม. อาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในระยะสั้น แต่ความเชื่อมั่นลดลง เสี่ยงต่อการยุบสภาเร็วกว่าที่คาดคิด
สรุป : ปรับเพื่อเปลี่ยน-ไม่ใช่เพียงแค่สลับเก้าอี้
การปรับ ครม. ในปี 2568 นี้ ควรเป็นมากกว่าการจัดการเกมการเมือง-เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่รัฐบาลจะพลิกฟื้นความเชื่อมั่นและแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมา
ถ้าหากมีการตัดสินใจที่ชาญฉลาด ควบคู่ไปกับการสื่อสารที่โปร่งใสและการดำเนินนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการ ก็จะช่วยยืดอายุของรัฐบาลและสร้างความหวังใหม่ให้กับประชาชนได้
แต่ถ้าหากการปรับ ครม.เป็นแต่เพียงการประคองอำนาจหรือการรักษาสมดุลพรรคร่วมรัฐบาล โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง รัฐบาลก็อาจจะเดินเข้าสู่ทางตัน และเผชิญกับแรงกดดันให้มีการยุบสภาเร็วกว่าที่คาดคิด
ในยุคที่ข้อมูลอยู่ในมือของประชาชน การปรับเพื่อ “เปลี่ยนจริง” เท่านั้น จึงจะสามารถซื้อเวลาและจุดประกายความหวังใหม่ขึ้นมาได้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022