เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

ปรับ ครม. 2568 : ทางเลือกและทางรอด ของรัฐบาลในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ

26.05.2025

บทความพิเศษ | เทวินทร์ อินทรจำนงค์

ปรับ ครม. 2568

: ทางเลือกและทางรอด

ของรัฐบาลในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ

ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่รุมเร้า การปรับ ครม. หากเกิดขึ้นจะไม่ใช่เป็นเพียงการโยกย้ายตำแหน่ง แต่เป็นโอกาสสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน

หากรัฐบาลตัดสินใจผิดพลาด ผลลัพธ์อาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง หรือแม้กระทั่งการยุบสภาในอนาคตอันใกล้

สาเหตุที่กดดันให้ต้องปรับ ครม.

1) ปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้า

– ค่าครองชีพพุ่งสูง ราคาอาหารและพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่กัดกินกำลังซื้อของประชาชน

– รายได้เกษตรกรตกต่ำ ราคาพืชผลเกษตร เช่น ข้าวและยางพาราอยู่ในระดับต่ำ จนส่งผลทำให้เศรษฐกิจฐานรากอ่อนแอ

– การส่งออกชะลอตัว อุตสาหกรรมหลักกำลังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน

2) ผลงานรัฐมนตรีที่ไม่ตอบโจทย์

– กระทรวงพาณิชย์ ล้มเหลวในการควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ที่กำลังสร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชน

– กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขาดนโยบายในการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม

– กระทรวงการคลัง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การแจกเงินดิจิทัล ยังไม่ปรากฏเห็นผลชัดเจน และต้องเลื่อนออกไป

3) แรงเสียดทานทางการเมือง

– ความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทย การต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในพรรคที่สร้างรอยร้าวภายใน

– แรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยและพรรคอื่นๆ อาจเรียกร้องเรื่องโควต้ารัฐมนตรีเพิ่มเติม

– ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพ หากบริหารจัดการไม่ดี อาจนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลได้

สามสูตรการปรับ ครม.

: ทางเลือกและผลลัพธ์

สูตรที่ 1 : ปรับใหญ่ทีมเศรษฐกิจ (“อิ๊งค์ 1”)

– แนวทาง : เปลี่ยนรัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจหลักทั้งหมด พร้อมกับแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ขึ้นมาทำงาน

– ผลดี : ส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหา ช่วยรื้อฟื้นความเชื่อมั่นจากประชาชนและจากนักลงทุน

– ความเสี่ยง : อาจสร้างความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล หากผลงานใหม่ไม่ดีขึ้นในระยะสั้น

สูตรที่ 2 : ปรับแบบประนีประนอม

– แนวทาง : ปรับเปลี่ยนเฉพาะบางตำแหน่งในกระทรวงที่มีปัญหา มีการรักษาสมดุลระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล

– ผลดี : ลดแรงเสียดทานภายในรัฐบาล รักษาเสถียรภาพในระยะสั้น

– ความเสี่ยง : อาจถูกมองว่าเป็นการปรับแบบผิวเผิน ไม่ตอบโจทย์ความคาดหวังของประชาชน

สูตรที่ 3 : ไม่ปรับ ครม. แต่เพิ่มนโยบายเร่งด่วน

– แนวทาง : รักษาทีมเดิม แต่เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดภาษี หรือการอุดหนุนราคาพลังงาน

– ผลดี : หลีกเลี่ยงความขัดแย้งภายในทีมงานรัฐบาล

– ความเสี่ยง : ความเชื่อมั่นของประชาชนอาจลดลงต่อเนื่อง และเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากฝ่ายค้าน

แนวทางปฏิบัติเพื่อกอบกู้วิกฤต

1) สร้าง “ทีมเศรษฐกิจเฉพาะกิจ”

– แนวทาง : จัดตั้งคณะทำงานพิเศษที่มีทั้งข้าราชการ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชน เพื่อแก้ปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าเกษตร

– ตัวอย่าง : ออกแบบแผนดำเนินงานเร่งด่วนภายใน 90 วัน เช่น ควบคุมราคาน้ำมันและพืชผลการเกษตร พร้อมจัดตั้งกองทุนสำหรับช่วยเหลือเกษตรกร

– ผลลัพธ์ที่คาดหวัง : เพิ่มความเชื่อมั่นในระยะสั้น และสร้างผลงานที่จับต้องได้

2) สื่อสารอย่างโปร่งใสและรับฟังเสียงของประชาชน

– แนวทาง : จัดเวทีสาธารณะและรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน รวมถึงใช้โซเชียลมีเดียเผยแพร่ข่าวสารความคืบหน้าในนโยบายของรัฐบาล

– ตัวอย่าง : สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ประชาชนเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบาย หรือจัดถ่ายทอดสดรายงานผลงานรัฐมนตรี เป็นต้น

– ผลลัพธ์ที่คาดหวัง : เพิ่มความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน

3) ปรับ ครม. ควบคู่กับการกำหนด KPI ที่ชัดเจน

– แนวทาง : หากมีการปรับ ครม. ต้องมีการกำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น “ลดค่าครองชีพ 5% ภายใน 6 เดือน” หรือ “เพิ่มรายได้เกษตรกร 10% ใน 1 ปี” เป็นต้น

– ตัวอย่าง : เผยแพร่รายงานผลงานรัฐมนตรีทุกไตรมาสผ่านการสื่อสารต่อสาธารณะ

– ผลลัพธ์ที่คาดหวัง : สร้างความรับผิดชอบและความไว้วางใจจากประชาชน

สถานการณ์สมมุติ

: ผลลัพธ์ที่ต้องเตรียมรับมือ

ปรับใหญ่ทีมเศรษฐกิจ ผลลัพธ์ระยะสั้น ตลาดหุ้นและนักลงทุนตอบรับในเชิงบวก

ความเสี่ยงระยะยาว เสี่ยงต่อความขัดแย้งภายในถ้าหากผลงานไม่ดีขึ้น

ปรับแบบประนีประนอม ผลลัพธ์ระยะสั้น ลดแรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาล แต่อาจสูญเสียคะแนนนิยมจากประชาชน

ไม่ปรับ ครม. อาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในระยะสั้น แต่ความเชื่อมั่นลดลง เสี่ยงต่อการยุบสภาเร็วกว่าที่คาดคิด

สรุป : ปรับเพื่อเปลี่ยน-ไม่ใช่เพียงแค่สลับเก้าอี้

การปรับ ครม. ในปี 2568 นี้ ควรเป็นมากกว่าการจัดการเกมการเมือง-เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่รัฐบาลจะพลิกฟื้นความเชื่อมั่นและแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมา

ถ้าหากมีการตัดสินใจที่ชาญฉลาด ควบคู่ไปกับการสื่อสารที่โปร่งใสและการดำเนินนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการ ก็จะช่วยยืดอายุของรัฐบาลและสร้างความหวังใหม่ให้กับประชาชนได้

แต่ถ้าหากการปรับ ครม.เป็นแต่เพียงการประคองอำนาจหรือการรักษาสมดุลพรรคร่วมรัฐบาล โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง รัฐบาลก็อาจจะเดินเข้าสู่ทางตัน และเผชิญกับแรงกดดันให้มีการยุบสภาเร็วกว่าที่คาดคิด

ในยุคที่ข้อมูลอยู่ในมือของประชาชน การปรับเพื่อ “เปลี่ยนจริง” เท่านั้น จึงจะสามารถซื้อเวลาและจุดประกายความหวังใหม่ขึ้นมาได้



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

หวยออกที่อิ๊งค์
ช็อก! ทรัมป์เล่นแรงเก็บภาษีไทย 36% ชี้ผลเสียหายมากกว่าตัวเลข “ส่งออก” “พิชัย” แบกภารกิจชาติ “สู้ต่อ-สู้ไม่ถอย”
‘เศรษฐกิจไทย’ ตกหลุมอากาศ เจอ Perfect Storm 3 ลูกซัด การเมือง-ภาษีทรัมป์-ท่องเที่ยวทรุด
พรรคน้ำเงินกับพลังตัวซีเคร็ต
จริงหรือที่ว่าเด็กรุ่นใหม่
การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกญี่ปุ่น (参院選挙) ปี 2025
‘ไม่มีประชาธิปไตยในความรัก’ : รำลึกถึงกูกิ วา ทิอองโก (Ngũgĩ wa Thiong’o)
ผมจะทำอะไรกับประกันสังคม หากมีอำนาจเป็นรัฐบาลสักสามเดือน
MatiTalk ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ไม่เคยสิ้นหวัง ไม่ต้องห่วงเพื่อไทยจะพัง อำนาจรัฐที่มาจากประชาชนต้องมาก่อน
เปิดประตูสู่ซีอานกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ดาวกับดวงวันอังคารที่ 15 กรกฎาคม 2568
‘ฮุน มาเนต’ เล็งเดินหน้าใช้กฎหมาย ‘บังคับเกณฑ์ทหาร’ เริ่มปี 2026 ชี้เพื่อเสริมสร้างกำลังทหารของประเทศ เพิ่มระยะเวลาการฝึกภาคบังคับ เป็น 24 เดือน