เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

2 ส. สนธิ-สมศักดิ์ กอดการเมือง เลิกกั๊กแล้วรักก่อน

30.05.2025

บทความในประเทศ

 

2 ส.

สนธิ-สมศักดิ์

กอดการเมือง

เลิกกั๊กแล้วรักก่อน

 

การปะทะกันในสมรภูมินิติสงครามระหว่างขั้วแดง-น้ำเงิน ยิ่งนานวันยิ่งเข้มข้น

แม้สัปดาห์นี้จะปรากฏภาพนายทักษิณ ชินวัตร ผู้นำจิตวิญญาณแห่งพรรคเพื่อไทย โอบกอดนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะผู้นำภูมิใจไทยต่อหน้าสื่อมวลชน ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาก

ใครก็รู้ว่าที่ผ่านมาขั้วแดงและน้ำเงินเปิดศึกใส่กันยับเยินแค่ไหน มีเพียงเรื่องเดียวที่พยุงให้ทั้งสองฝ่ายต้องจับมืออยู่คือ “ไม่ให้รัฐบาลล่ม” มิฉะนั้นทั้ง 2 ขั้วอำนาจมีอันต้องหลุดจากเก้าอี้ทั้งคู่

สมรภูมิปะทะวันนี้ยังลุกลามไปวงนอกอีก เมื่อ “ณฐพร โตประยูร” ผู้ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย จากกรณีฮั้ว ส.ว. เปิดชื่อ 2 ส. ผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง ควบคุม-แทรกแซง คดีฮั้ว ส.ว.ผ่านองค์กรอิสระ

ระหว่างที่คอการเมืองพากันเดาไปต่างๆ นานาว่า “2 ส.” นี้เป็นใคร ถือเป็นปริศนาที่ยังไม่คลี่คลาย แต่การขยับทางการเมืองรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาของ “2 ส.” คนดังการเมืองที่เปิดเผยไม่ปิดบังก็คือ สนธิ ลิ้มทองกุล และ สมศักดิ์ เทพสุทิน ถูกจับตามองอย่างน่าสนใจ

แม้ทั้ง 2 ส.อาจจะไม่ได้อยู่ในวงอำนาจแห่งการปะทะโดยตรง แต่เชื่อว่าจะมีบทบาทสำคัญจากประเด็นความขัดแย้งให้ต้องจับตาหลังจากนี้

 

ส.แรกคือ “สนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำเสื้อเหลือง ปรากฏภาพกอด “จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตแกนนำเสื้อแดง กลางเวทีหอประชุมเล็ก (ศรีบูรพา) ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ฮือฮา

ฮือฮาเพราะทั้ง 2 คนนี้คือตัวละครสำคัญของความขัดแย้งทางการเมือง 2 ขั้วในรอบกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

หากย้อนความสัมพันธ์กลับไปเมื่อครั้งวิกฤตการเมือง ปี 2535 สนธิในวัย 40 กลางๆ คือผู้นำสื่อในเครือมีจุดยืนเสรีนิยม ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ในวัย 20 กลางๆ ในฐานะแกนนำนักศึกษามีจุดยืนร่วมกันคือต่อต้านระบอบอำนาจนิยม “พล.อ.สุจินดา คราประยูร”

แต่ในวิกฤตการเมืองรัฐบาลไทยรักไทยปี 2547-2549 นายจตุพร คือหัวหอกแกนนำ นปช.สู้กับ นายสนธิ ในฐานะแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ขับไล่นายทักษิณ ชินวัตรแบบไม่น่าจะเผาผีกันได้

ครั้งนั้นนายสนธิทำสำเร็จ ยกระดับการเคลื่อนไหวลงถนน สร้างเงื่อนไขทางการเมืองกระทั่งทหารเข้ามายึดอำนาจในปี 2549

คณะรัฐประหารครองอำนาจได้ปีเดียวก็ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จัดให้มีการเลือกตั้ง แต่พรรคพลังประชาชนที่นายทักษิณสนับสนุนชนะการเลือกตั้งกลับมาครองอำนาจได้อีก นายสนธิก็ระดมพลพาคนลงถนนปิดทำเนียบรัฐบาล สร้างการกดดันทางการเมืองอีก

ท้ายที่สุดถึงทางตัน กระทั่งนายเนวิน ชิดชอบ ประกาศพลิกขั้วเปลี่ยนข้าง ถอนตัวจากการสนับสนุนขั้วพลังประชาชน หันมาสนับสนุนขั้วประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล เป็นอันล้มอำนาจ “ทักษิณ” จากการเมืองได้สำเร็จ

หลังรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หมดวาระ พร้อมกับความชอบธรรมทางการเมืองที่ลดน้อยลงจากการล้อมปราบกลุ่มเสื้อแดง พรรคเพื่อไทยที่มีนายทักษิณสนับสนุนก็ชนะเลือกตั้งถล่มทลายกลับมาครอบครองอำนาจได้อีก

ผลจากคดีความมากมาย ทำให้ครั้งนี้นายสนธิลดบทบาทไป ตรงกันข้ามกับขบวนการอนุรักษนิยมต้านทักษิณที่ขยายใหญ่ขึ้น จากพันธมิตรกลายเป็น กปปส. เคลื่อนไหวกดดันสร้างเงื่อนไขกระทั่งเกิดการรัฐประหารโค่นอำนาจรัฐบาลเพื่อไทยอีก

 

เป็นเวลาเกือบ 10 ปีที่รัฐบาลจากรัฐประหารปี 2557 ครองอำนาจ ขณะที่นายสนธิและนายจตุพร ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม วนเวียนกันเข้าเรือนจำทั้งคู่

นายสนธิยอมรับเองว่าที่นี่ทำให้ทั้งสองคนพบกัน และเปิดใจกัน

หลังทั้งคู่ได้รับอิสระ บทบาททางการเมืองช่วงแรกต่างก็วิจารณ์รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมๆ กับที่รัฐบาลรัฐประหารมีอำนาจนั้นก็เกิดพลังทางการเมืองกลุ่มใหม่คือ “พลังสีส้ม”

หลังการเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 กลุ่มสีส้มที่มีเป้าหมายทางการเมืองคือปฏิรูปขั้วอำนาจเก่าชนะเลือกตั้ง ที่สุดเกิดการพลิกขั้วเปลี่ยนข้างตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยหันมาจับมือกับฝ่ายอนุรักษนิยมกลุ่มอำนาจเดิมเพื่อสกัดสีส้ม

2 ปีที่ผ่านมาจึงเกิดภาวะมึนงงทางการเมืองในขบวนการอนุรักษนิยมเองโดยเฉพาะในระดับมวลชน

ด้านหนึ่งก็ต้องกลืนเลือด จับมือนายทักษิณเพื่อสกัดศัตรูที่น่ากลัวกว่าคือสีส้ม ครั้นจะไปพึ่งกลุ่มการเมืองอื่นเช่นที่เคยพึ่งพาอย่างประชาธิปัตย์ ก็เสียหายจนไม่สามารถพึ่งได้-พรรค 2 ลุงก็เช่นกัน

แต่แล้วกับดักทางการเมืองจากกลไกรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่วางไว้สกัดฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สีส้มถูกผลักออกจากสมการอำนาจสำเร็จ “อ่อนกำลังลงมาก”

วันนี้จึงถึงเวลา “รุกคืบ” ทวงคืนอำนาจจากนายทักษิณและเพื่อไทย

การได้เห็นนายสนธิ และนายจตุพรกอดกันบนเวที เป้าหมายคือการก่อร่างรูปขบวน หวังนำมวลชนอนุรักษนิยมกลับมา “ขยับทางการเมือง” อีกครั้ง ล็อกเป้าไปที่ “ทักษิณ”

 

ส. ที่สองคือ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ในฐานะนักการเมืองเพื่อไทย

“สมศักดิ์” คือนักการเมืองผู้เคยประกาศว่า “รู้ทิศทางลมดี” เข้าใจดินฟ้าอากาศ อ่านสมการการเมืองออก

นั่นคือเหตุผลทำให้เขานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีมาแล้วต่อเนื่องหลายสมัย ไม่เคยต้องเป็นฝ่ายค้าน จนเป็นที่มาของวาทะ “ถนัดเป็นรัฐบาลมากกว่าเป็นฝ่ายค้าน”

ปัญหาก็คือทิศทางลมวันนี้เป็นห้วงขณะมรสุมกำลังพัดกระหน่ำใส่ “ทักษิณ”

กรณีชั้น 14 กลายเป็นอุบัติภัยทางการเมืองครั้งใหญ่ต่อนายทักษิณ เป็นการปะทะกันโดยตรงระหว่าง “มติแพทยสภา” กับนายทักษิณ

ล่าสุด ลุกลามไปยังเครือข่ายวิชาการแพทย์หลายมหาวิทยาลัยที่ออกมาแสดงตัวยืนตรงข้ามนายทักษิณ

ชะตากรรมนายทักษิณ กรณีชั้น 14 วันนี้จึงแขวนบนเส้นด้าย ไม่รู้ว่าคำตัดสินของศาลจะออกหัวหรือก้อย

ขณะที่ฝั่งวิชาชีพแพทย์ของประเทศ เปิดหน้าสู้นายทักษิณแล้วผ่านมติแพทยสภา เผือกร้อนกรณีนี้จึงตกมาที่มือของนายสมศักดิ์ ในฐานะ รมว.สธ.

อย่าลืมว่าบรรดาแพทย์ส่วนใหญ่ในไทย เคลื่อนไหวต้านนายทักษิณและพรรคเพื่อไทยมาต่อเนื่อง กรณีชั้น 14 จึงเป็นเชื้อไฟให้กับขบวนการอนุรักษนิยมไทยใช้จุดเคลื่อนไหว

คดีของนายทักษิณจึงเป็นปัญหาใหญ่ เพราะหากผลออกมาแง่ลบต่อนายทักษิณ ย่อมต้องสะเทือนต่อรัฐบาลเพื่อไทย และนายกฯ แน่นอน

รัฐบาลจะเดินอย่างไรต่อ? นายกฯ จะไปทางไหน? กระทั่งเลือกตั้งครั้งหน้าบ้านใหญ่หลังต่างๆ จะยังอยู่ในร่มเงาเพื่อไทยหรือไม่ หากนายทักษิณถูกเล่นงาน

วันนี้สปอตไลต์ทางการเมืองจึงฉายมาที่นายสมศักดิ์ ว่าจะเอายังไงกับมติแพทยสภา

 

ด้วยความเป็นนักการเมืองอยู่เป็น มีความเป็นไปได้ว่าหากสมศักดิ์ “เลิกกั๊ก” หันมากอด “ทักษิณ” น่าคิดจะเกิดอะไรขึ้น

เพราะหาก “สมศักดิ์” หักมติแพทยสภา ในมิติการเมืองเท่ากับเป็นการประกาศสงครามกับกลุ่มหมอ

หรือจะไฟเขียวมติแพทยสภา ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ในบทบาทของนักการเมืองอยู่เป็นของนายสมศักดิ์ ขณะที่ตัวนายทักษิณเองที่ต่อสู้-ต่อรองทางการเมืองมาถึงจุดนี้ ฝ่าอภินิหารกฎหมายมาหลายครั้ง

คงไม่ยอมจบง่ายๆ

 

โดยรวม ปรากฏการณ์ “เลิกกั๊กแล้วหันมารักกัน” ไม่ว่าจะเป็นการกอดกันชื่นมื่นของอดีต 2 ผู้นำม็อบเหลืองแดง เพื่อหันมาล็อกเป้าใส่นายทักษิณ

ไม่ว่าจะเป็นกรณีแรงกดดันที่เกิดต่อ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” จนอาจถึงจุด “ต้องเลิกกั๊ก” เดินหน้าชนมติแพทยสภา หันมากอดทักษิณ ร่วมหัวจมท้ายในช่วงวาระการเมืองสำคัญ

ดูเหมือนคนละเรื่อง แต่จริงๆ คือเรื่องเดียวกัน

มันคือการขยับของ “พลังอนุรักษนิยมทางการเมืองของไทย” รุกคืบ เข้ามากระทำต่อเพื่อไทย ขย่มรัฐบาล ผ่านการยิงเป้าตรงไปที่ “ทักษิณ”

เพราะ “ทักษิณ” สะเทือน “นายกฯ” ก็สะท้าน

“เพื่อไทย” สะเทือน “รัฐบาล” ก็สั่นคลอน

ศัตรูที่แท้จริงของขบวนการอนุรักษนิยมไทยคือขั้วสีส้ม วันนี้อ่อนแรงลงไปมาก ขณะที่เพื่อไทยก็ได้เวลาใช้อำนาจไปแล้ว 2 ปีเศษ ถึงวันนี้ได้เวลาเอาคืนแล้ว

นั่นคือโจทย์ยากของทักษิณและพรรคเพื่อไทยว่าจะตั้งรับอย่างไรต่อการขยับรุกคืบของขบวนการอนุรักษนิยม

อย่าลืมว่าวันนี้เพื่อไทยกำลังมีวิกฤตความชอบธรรมทางการเมืองเช่นกัน เพื่อไทยกลายเป็นสัญลักษณ์ของการรักษาสถานะการเมืองเดิมไว้ ไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกแล้ว

เดินหน้าต่อ “ก็ยาก” ถอยกลับมาตั้งหลัก “ก็ยังยาก”

ต่อให้ คำตัดสิน 13 มิถุนายน เป็นคุณต่อนายทักษิณ ก็เพียงหลบระเบิดได้ลูกเดียว

ยังมีกับดักระเบิดรออยู่อีกเพียบ…



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

“​ศ.สุชาติ” มองสหรัฐประกาศภาษีนำเข้าเบื้องต้นสำหรับไทย​ที่​ 36% ไทยควรไปเสนอ​ เวียดนาม​โมเดล
เจาะใจ ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ บทบาทสตรีกับการเมืองไทย จะเปลี่ยนแปลงได้ ต้องไม่ลดทอนคุณค่าผู้หญิง
เฟซบุ๊กของฮุน เซน ฮุน เซน คนขี้โม้
รวมพลังแผ่นดิน หรือรวมพลังแบ่งแยก? วิกฤตอธิปไตยและอนาคตความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
รัฐบาลไทย เกี่ยวข้องอะไรกับคดีลิม กิมยา?
ทรัมป์กับภาษาสบถ แบบ *** (เซ็นเซอร์!)
ภาพ AI รันวงการอาหารและต้นไม้
SDG Index 2025 ไทยขยับกลับสู่อันดับ 43 ของโลก ยืนหนึ่งในอาเซียน
เลิกกั๊กแล้วพักก่อน มองออกจาก Deadlock ทางการเมืองไทย หันมองการเมืองโลกกับการปฏิรูปสวัสดิการ
เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง หนัก! การเมืองระส่ำ แห่หั่น GDP สหพัฒน์-เซ็นทรัล แนะ ‘เก็บเงินสด’
ดาวกับดวง วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม 2568 โดยพิมพ์พรร
ปตท. ธุรกิจแห่งอาเซียน