

บทความพิเศษ
สรุป บทแก้ต่าง
ของ ธงชัย วินิจจะกูล
ต่อ ก.ศ.ร.กุหลาบ
ในความเห็นของ ธงชัย วินิจจะกูล กรณีสำคัญที่ ก.ศ.ร.กุหลาบ ถูกลงโทษส่งเข้า “โรงเลี้ยงบ้า” คือ กรณีแต่งเรื่องกษัตริย์สุโขทัย “จุลปิ่นเกษ” เสียเมือง
นี่เป็นความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งว่าดำเนินไปในลักษณะ “กุ” หรือไม่
ข้อความที่ ก.ศ.ร.กุหลาบ เขียนถึงกรณีนี้มีเพียงสั้นๆ ในหนังสือ “สยามประเภท” เล่ม 7 ตอน 16 (20 กรกฎาคม ร.ศ.125 หรือ พ.ศ.2449) ว่า
กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีสยามฝ่ายเหนือ กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของพระราชวงศ์คือ “สมเด็จพระจ้าวจุฬปิ่นเกษ” หลังจากนี้ กรุงสุโขทัยก็ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา
ธงชัย วินิจจะกูล ระบุว่า กุหลาบเคยตีพิมพ์เกี่ยวกับวงศ์กษัตริย์สุโขทัยมาก่อน แต่ในครั้งก่อนๆ ซึ่งเขาเคยกล่าวถึง “พระจ้าวปิ่นเกษ” นั้น
เขาไม่เคยกล่าวถึง “พระจ้าวจุฬปิ่นเกษ” เลย
ครั้งเดียวนี่เองที่ทำให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงกริ้วและกุหลาบถูกส่งเข้า “โรงพยาบาลเสียจริต”
นอกจากนี้ ไม่ปรากฏชัดว่ากุหลาบเอาข้อมูลเรื่องวงศ์กษัตริย์สุโขทัยมาจากไหน
คำถามของ ธงชัย วินิจจะกูล ก็คือ กุหลาบทำเช่นนี้ทำไม
คำตอบในลักษณะอธิบายของ ธงชัย วินิจจะกูล ภายใต้หัวข้อที่ว่า “แต่งแบบก่อนประวัติศาสตร์=กุ” ก็คือ
พระราชพงศาวดาร
กับ ประวัติศาสตร์
พระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่ากุหลาบจงใจเทียบเคียงให้หมายถึงพระองค์ และให้มีนัยว่าพระองค์จะเป็นที่สุดของพระราชวงศ์เช่นกัน
อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีข้อความใดๆ เป็นหลักฐานชัดเจนว่ากุหลาบหมายให้เข้าใจเช่นนั้น
แต่อาจกล่าวได้เช่นกันว่าจะให้เข้าใจว่าอย่างไรที่จู่ๆ “พระจ้าวจุฬปิ่นเกษ” ก็โผล่ขึ้นมาโดยมีสาระสำคัญตรงที่เป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายก่อนตกเป็นเมืองขึ้น เราคงไม่มีทางรู้ชัดว่ากุหลาบต้องการ “ล้อ” หรือสื่อความหมายถึงปัจจุบัน (ของเขา) หรือไม่
หรืออันที่จริงเขากำลัง “แต่งพงศาวดาร” อย่างปัญญาชนสมัยเขายังทำเป็นปกติโดยไม่มีเจตนาใดในทางลบเลย
ถ้าต้องการ “ล้อ” หมายความว่ากำลังทำอย่างที่นักเขียนอีกมากมาย “แต่ง” เรื่องเกี่ยวกับราชสำนัก เป็น allegory เพื่อสื่อสารอะไรบางอย่าง ทำนองเดียวกับที่นักเขียนนิยายหรือเรื่องสั้นอิงประวัติศาสตร์ทำกันมากมายในปัจจุบัน
ถ้าเทียบเคียงกับงานสมัยเก่าๆ หรือร่วมสมัยกับเขาในแง่เป็นเรื่องแต่งกระทบเจ้า (แต่ด้วยรูปแบบการประพันธ์ที่ต่างกัน) ก็น่าจะคิดถึง “ระเด่นลันได” หรือบทละคร เรื่อง “วงศ์เทวราช” ซึ่งเป็นการหยอกล้อประชดเจ้านายชั้นสูง
ถ้าคิดไปถึงงานเก่าๆ แต่โบราณที่เอาเรื่องของกษัตริย์เจ้านายเป็นท้องเรื่องเพื่อสื่อสารบางอย่างก็มีมากมาย เช่น ชาดกนิทานพื้นบ้านเพื่อให้แง่คิดทางศีลธรรมหรืออบรมสั่งสอน รวมทั้งบางเรื่องเพื่อตักเตือนให้ข้อคิดพระเจ้าแผ่นดินด้วย
นิยาย นิทานเรื่อง “จักรๆ วงศ์ๆ” ตีพิมพ์แพร่หลายมากมาแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นั้นเองจนถึงบัดนี้เพื่อเป็นบทเรียนทางศีลธรรมหรือวัตถุประสงค์อื่นๆ
เรื่องแต่งที่อ้างเอาสุโขทัยเป็นฉากอย่างจริงๆ จังๆ แต่เพื่อสื่อสารกับคนร่วมสมัยกับผู้ประพันธ์ที่รู้จักกันดีคือ “นางนพมาศ” ไม่มีใครหาว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์
เพราะย่อมดูปราดเดียวก็รู้ว่างานเหล่านั้นไม่ได้มีเจตนาจะให้ถือเป็นพงศาวดารหรือประวัติศาสตร์แบบสมัยใหม่แต่อย่างใด
กรณี หลวงนรินทรเทวี
กรณี ก.ศ.ร.กุหลาบ
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชวินิจฉัยเกี่ยวกับ “จดหมายเหตุความทรงจำหลวงนรินทรเทวี” ว่า
“จดหมายฉบับนี้เปนลักษณจดหมายเก่า
ซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่ชั้นนี้จดใช้วิธีแลสำนวนอย่างนี้ ไม่ใช่ผู้ที่…สามารถแต่งหนังสืออย่างเช่นที่เรียกกว้างขวางกันอยู่ในเวลานี้ว่าจินตกระวี
…แต่ของเดิมเขาใช้สำหรับผู้ซึ่งผูกประพันธ์ขึ้นเปนบทกลอน ในชั้นหลังนี้ดูเหมือนผูกขึ้นเปนเรื่องใดไม่ต้องเปนบทกลอน จะเท็จก็ตามจริงก็ตาม น่าจะหมายตัว เปนจินตกระวีเหมือนกัน
บางทีที่นึกแซกแซมลงตามความคิดบ้าๆ อย่างสยามประเภท ก็จะตั้งตัวว่าเปน จินตกระวีด้วย จะว่าเขาผิดก็ไม่ได้ เพราะเขาก็นึก
ต่างแต่นึกเปนกุศลเจตนาแลอกุศลเจตนา
จดหมายความทรงจำหลวงนรินทรเทวีนี้ไม่ใช่ผู้รู้แต่งจดหมายเหตุและพงษาวดาร ไม่ใช่จินตกระวีทั้งสองอย่าง”
พระองค์ทรงกำลังอภิปรายถึงประเภทของงานประพันธ์กับขนบที่กำลังเปลี่ยน
จะเห็นได้ว่าพระองค์เองก็ทรงยอมรับว่ากุหลาบอาจกำลังแต่งอย่างจินตกระวีกระทำ (แต่เป็นการแต่งเติมด้วยเจตนาในทางร้าย)
นิยาม ก.ศ.ร.กุหลาบ
รุ่นเก่า ปะทะ รุ่นใหม่
ความเห็นก่อนหน้านี้ของ ธงชัย วินิจจะกูล ในแง่การผลิตความรู้ทางประวัติศาสตร์นั้น ทั้งกุหลาบและปัญญาชนชั้นสูงของสยามร่วมสมัยกับเขาล้วนเป็นคนกลางเก่ากลางใหม่ด้วยกันทั้งนั้น
แต่ละคนมีความโน้มเอียงทางปัญญาที่ปะปนกันระหว่างกระแสความคิดต่างๆ เกิดการใช้ทัศนะที่อิงกับความคิดชุดหนึ่งไปตัดสินอีกชุดหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
ปัญญาชนอำมาตย์คนสำคัญๆ รุ่นนั้นมีความโน้มเอียงไปทางตัวแทนของความรู้ชนิดใหม่ ระบบคุณค่ามาตรฐานแบบใหม่ ส่วนกุหลาบมีความโน้มเอียงไปทางจารีตการเขียนประวัติศาสตร์แบบก่อนสมัยใหม่
วิทวัส มีแสงนิล ชี้ให้เห็นเมื่อเขียน “อานามสยามยุทธ : ประวัติศาสตร์นิพนธ์ประชาชน” เมื่อปี 2545 ว่า
กุหลาบสืบทอดธรรมเนียมการเขียนประวัติศาสตร์แบบจารีตมามาก
พร้อมกับอธิบายบริบทขณะนั้นว่า การเขียนประวัติศาสตร์เริ่มเปลี่ยนไปจากจารีตพระราชพงศาวดารแบบเก่าไปบ้างแล้ว พระราชพงศาวดารฯ ฉบับพระราชหัตถเลขาไม่ใช่เรื่องของวงศ์อวตารแบบทัศนะโบราณอีกแล้ว
แต่ “วิธีการ” ประมวลข้อมูลและนำเสนอเรื่องราวยังเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก
กุหลาบเป็นประจักษ์พยานว่าการเขียนประวัติศาสตร์เริ่มออกมาอยู่ในมือสามัญชน แต่เรื่องราวและวิธีการผลิตงานประวัติศาสตร์ของเขายังสืบทอดวิธีการแบบเดิมอย่างเห็นได้ชัด
โดยดูจากลักษณะสำคัญ 2 ประการ คือ
หนึ่ง การ “เรียบเรียงและคัดลอก” หรือเอาของเก่ามาปะติดปะต่อกันเป็นฉบับใหม่ โดยประมวลข้อความจากเอกสารหลายแหล่งเข้ามาปะติดปะต่อให้ได้ความเรียงเป็นเรื่องเดียวกัน
และ สอง การ “แต่งเติม” เพิ่มขึ้นเองโดยมักเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงมาใส่เพิ่มไว้ให้น่าอ่านขึ้น
วิทวัส มีแสงนิล สรุปว่า ในกรณีของ “อานามสยามยุทธ” นี้คือการเพิ่มเรื่องการจัดทัพและการยุทธ์อย่างละเอียดหลายหน้า นอกเหนือไปจากเอกสารหลักๆ ที่เป็นฐานของเรื่องนี้
นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวถึงความเก่าใหม่ปนกันนี้ไว้เมื่อปี 2536 ว่า
“เราไม่ควรลืมว่า ก.ศ.ร.กุหลาบนั้นเป็นนักประวัติศาสตร์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนรุ่น กรมหลวงวงศาธิราชสนิท และ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
การเอา ก.ศ.ร.กุหลาบ ไปเปรียบกับ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ย่อมจะให้ภาพความล้าหลังของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ในฐานะนักประวัติศาสตร์ แต่หากไปเปรียบกับ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท แล้ว
ก็จะเห็นได้ว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ของท่านได้ก้าวหน้าไปมากเพียงใด