

นัยความเป็นคน | นิ้วกลม
มนุษย์สัมพันธ์กับท้องฟ้า
1 ลองจินตนาการถึงชีวิตในสมัยที่โลกยังไม่มีไฟฟ้า ย้อนกลับไปไกลถึงสมัยที่ชุมชนต่างๆ ยังไม่เป็นอาณาจักรหรือเมืองใหญ่ เมื่อพระอาทิตย์ลับฟ้าไป มนุษย์เหลือสิ่งใดอยู่รอบตัวบ้าง?
ท้องฟ้ามืดสนิท
และแน่นอน ดวงดาวดารดาษ
มนุษย์สมัยก่อนต่างจากพวกเราในตอนนี้หลายเรื่อง แต่เรื่องหนึ่งที่เป็นรากฐานสำคัญของอารยธรรมมนุษย์คือความสัมพันธ์ระหว่างบรรพบุรุษของเรากับดวงดาวบนฟากฟ้า
มีรูปแบบการเรียงตัวของจุดลักษณะหนึ่งที่ปรากฏขึ้นซ้ำๆ ในงานศิลปะทั่วโลกตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คือจุดทรงกลมขนาดเล็กหกจุดเกาะกลุ่มใกล้ๆ กัน แถวหนึ่งสี่จุดอีกแถวสองจุด (นึกออกใช่ไหมครับ) สิ่งนี้ปรากฏเป็นรูปที่เจาะลงไปบนผิวน้ำเต้าที่เป็นเครื่องเคาะจังหวะของชนเผ่านาวาโฮ ปรากฏบนภาพวาดบนกลองของหมอผีไซบีเรียน และกลายมาเป็นโลโก้รถญี่ปุ่นยี่ห้อซูบารุด้วย
มันคือกระจุกดาวลูกไก่
สะท้อนให้เห็นความสำคัญของกลุ่มดาวลูกไก่ในพื้นที่ต่างๆ และยังทำให้เห็นว่ามนุษย์ในโลกนี้แม้อยู่ห่างกันคนละซีกโลกก็มีความคิดความปรารถนาคล้ายกันในการนำเอาดวงดาวบนฟ้ามาประดับไว้ในชีวิต
แต่ดาวยังสัมพันธ์กับมนุษย์มากไปกว่าแค่ลวดลายประดับ
2 ในถ้ำลัสโก (Lascaux) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสมีภาพวาดและจารึกภาพสัตว์หลายชิ้นที่มีอายุประมาณ 20,000 ปี ก็ปรากฏกระจุกจุดหกจุดนี้ของดาวลูกไก่เหนือสะบักวัวที่ถูกวาดไว้ในถ้ำ ทุกวันนี้มีการสันนิษฐานว่า นี่อาจไม่ใช่แค่ภาพวาดที่วาดกันเล่นๆ หากเป็น ‘แผนที่ดาว’ ที่สร้างขึ้นสมัยมนุษย์ยังเก็บของป่าล่าสัตว์
และจักรวาลที่คนยุคนั้นสร้างขึ้นยังกำหนดชีวิตพวกเราจนถึงวันนี้
นอร์แบร์ อูฌูลา (Norbert Aujoulat) หัวหน้าแผนกศิลปะในโพรงถ้ำของกระทรวงวัฒนธรรมฝรั่งเศสสนใจสิ่งที่ลึกลงไปกว่าแค่จะมองว่าภาพเก่าแก่บนผนังถ้ำเหล่านี้เป็นเพียงแค่ ‘งานศิลปะ’
เขาค้นพบว่าในทุกๆ กรณี ม้าจะได้รับการวาดก่อน จากนั้นเป็นวัวป่าออรอคและปิดท้ายด้วยกวาง
การค้นพบนี้นำไปสู่การไขปริศนาที่น่าสนใจยิ่ง เพราะสัตว์แต่ละชนิดเหมือนเป็นตัวแทนของช่วงเวลาที่เจาะจงในแต่ละปี นั่นคือช่วงเวลาผสมพันธุ์ของพวกมัน เช่น ม้าตอนปลายฤดูหนาว วัวป่าตอนฤดูร้อน กวางตอนฤดูใบไม้ร่วง
เช่นนี้แล้ว ภาพในถ้ำจึงแสดงวัฏจักรการเจริญพันธุ์ของสัตว์ สื่อถึงการสร้างชีวิตและวงจรของชีวิต จึงเป็นภาพที่ไม่เพียงเกี่ยวกับมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวโยงกับสัตว์ สภาพอากาศ และจักรวาลทั้งมวลด้วย
คนโบราณพยายามสังเกต ‘วัฏจักร’ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ผ่านอาทิตย์ขึ้น-ตก ดวงดาว กลุ่มดาว ฤดูกาล และสิ่งมีชีวิตรอบตัว สิ่งที่พวกเขามองเห็นคือความเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันระหว่างตัวเองและสรรพสิ่งบนผืนดินและท้องฟ้า
ถ้ำแห่งนี้จึงมิใช่ผืนผ้าวาดรูปเล่น หากคือ ‘โถงศักดิ์สิทธิ์’ ที่เชื่อมโยงสิ่งทั้งหมดเข้าด้วยกัน
3 ผู้เชี่ยวชาญหลายด้านค้นพบเบาะแสในเรื่องดวงดาวกับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคราบสีแดงบนฟอสซิลฟองน้ำที่มีกลุ่มจุดเหมือนดาวหมีใหญ่ หลุมที่ถูกสลักบนกระดูกอายุ 30,000 ปี เป็นรูปจันทร์เสี้ยวเรียงกันคดเคี้ยวเหมือนดิถีของดวงจันทร์ ซึ่งอาจเป็นการจดบันทึกของคนโบราณ
ส่วนที่ดาวลูกไก่ยอดฮิตปรากฏในหลายพื้นที่ของโลกนั้นเป็นเพราะว่าเป็นกระจุกดาวใกล้เส้นทางเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ที่มองเห็นเด่นชัด จึงเป็นเครื่องบอกฤดูกาลได้เป็นอย่างดี
กระทั่งในวันนี้ชุมชนเกษตรในบางแห่งยังคอยสังเกตกลุ่มดาวลูกไก่เพื่อประกอบการทำเกษตรของพวกเขา
หรือชาวอเมริกันพื้นเมืองบางเผ่ารู้ว่าจะล่าไบซันตอนไหนโดยดูจากการเคลื่อนตัวของดาวลูกไก่เช่นกัน
มีข้อเสนอว่าผู้วาดภาพบนผนังถ้ำลัสโกอาจพัฒนาปฏิทินดวงดาวจากการสังเกตแบบเดียวกันนี้ โดยช่วงเวลาที่ภาพวัวถูกวาดขึ้นนั้น กลุ่มดาวลูกไก่น่าจะปรากฏก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในช่วงกลางเดือนตุลาคม และหายไปในเดือนสิงหาคม
การหายไปและกลับมาของกลุ่มดาวลูกไก่บอกถึงฤดูผสมพันธุ์ของวัวป่าออรอค (คือช่วงสิงหาคมถึงตุลาคม)
ผมอ่านเรื่องราวเหล่านี้ในหนังสือ Human Cosmos ของโจ มาร์ชานท์ (Jo Marchant) ด้วยความตื่นตาตื่นใจ ทำให้เห็นว่าคนสมัยโบราณคงจะ ‘เห็น’ โลกรอบตัวต่างจากเราวันนี้มาก
พวกเขาใช้ท้องฟ้าเป็นนาฬิกาและปฏิทิน ดวงดาวมิใช่แค่ ‘วัตถุ’ แต่ยังเป็นเสมือน ‘เทพเจ้า’ ที่ดำเนินสอดคล้องไปกับหลายสิ่งบนพื้นดิน ไม่ว่าพืชพรรณธัญญาหารหรือสรรพสัตว์ต่างๆ ที่พวกเขาใช้ชีวิตร่วม
จึงมีเรื่องเล่าหรือตำนานที่สะท้อนสิ่งเหล่านี้ในโลกโบราณ เช่น ตำนานคอสมิค ฮันต์ ซึ่งเล่าถึงผู้ไล่ล่ากวางเอลก์ กระทั่งสัตว์เขางามวิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ากลายร่างเป็นกลุ่มดาวไถ หรือเรื่องราวเกี่ยวกับมังกรที่คอยปกป้องแหล่งน้ำ สร้างสายรุ้ง และฝนฟ้าคะนองได้ ตำนานมนุษย์หรือสัตว์กลายร่างเป็นดาวก็มีในบ้านเราเช่นกัน
ตำนานเหล่านี้มิได้เป็นแค่ ‘เรื่องเล่า’ แต่ยังเป็น ‘ความทรงจำ’ ที่สืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
และมุมมองที่เรามีต่อจักรวาลนี้อาจได้รับมรดกตกทอดมาจากกาลครั้งนู้นก็เป็นได้
4 ชนพื้นเมืองเผ่าชูแมช (Chumash) แถบแคลิฟอร์เนียตอนใต้มองว่าจักรวาลประกอบด้วยโลกที่มีรูปร่างคล้ายทรงกลมสามแผ่น คือ โลกเบื้องล่าง ที่ชั่วร้ายพิกลพิการ โลกส่วนกลาง เป็นที่อาศัยของเหล่ามนุษย์ เหนือขั้นไปคือโลกเบื้องบนที่ถูกยกให้ลอยโดยอินทรียักษ์ จักรวาลนี้ถูกปกครองโดยดวงอาทิตย์ ในแต่ละวันเขาจะเดินทางข้ามท้องฟ้าพร้อมคบเพลิง บริโภคเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร ตกดึกจะพนันกับหมาป่าโคโยเตแห่งท้องฟ้า (ดาวเหนือ) เพื่อตัดสินชะตากรรมของมนุษย์เบื้องล่าง
ชาวชูแมชพูดถึงโลกเบื้องบนว่าเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตทรงพลังเหนือธรรมชาติ ทั้งเทพเจ้าเทพธิดาที่เชื่อมโยงกับดวงดาวต่างๆ การเคลื่อนที่ของทวยเทพเหล่านี้มีผลต่อชีวิตบนโลกมนุษย์ ก็คือเมื่อดาวเคลื่อนฤดูกาลก็เปลี่ยนแปลง เมล็ดพันธุ์งอก ฝนตก สัตว์อพยพ ฯลฯ
นี่คือความเข้าใจวัฏจักรชีวิตและการหมุนวนของจักรวาลในทัศนะของพวกเขา
คนยุคนั้นหรือชนเผ่าที่ยังมีวิถีดั้งเดิมเชื่อมโยงกับโลกเบื้องบนโดยหมอผีหรือชามัน (Shaman) ผู้ทำพิธีที่เดินทางไปมาระหว่างโลกวิญญาณกับโลกความจริง หยั่งรู้อนาคต ควบคุมสภาพอากาศและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้
มีการศึกษาพิธีกรรมของชามันเหล่านี้ทำให้เห็นว่าระบบประสาทของมนุษย์สามารถสร้างภาพหลอนขึ้นมาเหมือนว่าตัวเองได้กลายร่างเป็นสัตว์หรือสื่อสารกับสัตว์ต่างๆ ได้ แถมยังสามารถเดินทางทะลุเยื่อบางๆ เพื่อเคลื่อนตัวจากชั้นล่างไปสู่ชั้นบนได้ เหมือนคนทรงบ้านเราที่เชื่อมต่อกับโลกเบื้องบนได้
ขณะประกอบพิธีกรรม ชามันทั้งหลายรู้สึกเหมือนเหาะขึ้นไปเจรจากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนท้องฟ้าได้
นี่จึงเป็นคล้าย ‘คำเฉลย’ ของภาพวาดในถ้ำโบราณทั้งหลายว่า ผนังถ้ำเองเป็นเสมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกศักดิ์สิทธิ์ (เบื้องบน) กับโลกความจริง (โลกมนุษย์) ถ้ำบางแห่งจึงตกแต่งด้วยภาพบนท้องฟ้า เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ผมนึกถึงเทพนัท (Nut) เทพีแห่งท้องฟ้าของอียิปต์ที่มักถูกวาดให้โค้งตัวอยู่เหนือเพดานสุสานมีดวงดาวประดับเต็มตัว รวมถึงภาพวาดตามโบสถ์วิหารที่เล่าเรื่องราวของ ‘โลกเบื้องบน’
มนุษย์แสวงหาจุดเชื่อมโยงกับจักรวาลทั้งมวลไม่เคยขาด
เรื่องราวของถ้ำโบราณเหล่านี้ รวมถึงการสังเกตธรรมชาติ พิธีกรรม และการพยายามเชื่อมสัมพันธ์ของคนโบราณกับจักรวาลรอบตัว ทำให้เราเข้าใจ ‘ความเป็นมนุษย์’ มากขึ้นว่าในความเป็นจริงมนุษย์มีชีวิตอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่ง เราไม่เพียงพยายามทำความเข้าใจสิ่งรอบตัว แต่เรายังหาวิธีสร้างปฏิสัมพันธ์ หลอมรวม ต่อรอง ควบคุม รวมถึงผสานตนเป็นส่วนหนึ่งกับ ‘ทั้งหมด’
ในสมัยโบราณเรายังมิได้แยกตัวออกจากจักรวาล มิได้ตัดขาดสัมพันธ์แล้วใช้ชีวิตแบบ ‘นี่คือฉัน นั่นคือโลก’ เราเป็นส่วนหนึ่งของโลก โลกเป็นส่วนหนึ่งของเรา มีชีวิตที่แนบชิดราวกับเต้นรำอยู่ในท่วงทำนองของเพลงเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกันเหมือนนิ้วก้อยเป็นส่วนหนึ่งของแขน และแขนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
ดวงดาว สัตว์ พืช คน ฝนฟ้า กระแสธาร ผืนดิน รวมกันเป็นหนึ่ง บรรสานคล้องจองไปด้วยกัน เมื่อสิ่งหนึ่งเคลื่อนอีกสิ่งกระทบ
ทุกวันนี้คนสมัยใหม่อาจมองว่า คนที่พยายามยกมือไหว้ท้องฟ้า ดวงดาว ดวงจันทร์ หรือเทพเทพีเป็นคนงมงาย แน่นอน หากทำไปโดยไม่มีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งก็อาจเป็นเช่นนั้น
แต่ถ้าเรามองย้อนกลับไปอย่างเข้าใจสัมพันธ์อันแนบชิดของมนุษย์กับจักรวาล เราอาจพบว่าคนโบราณใช้ชีวิตโดยเข้าใจ ‘ความจริง’ มากกว่าคนปัจจุบันที่ห่างไกลและตัดสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวด้วยซ้ำไป
เราจึงเป็นสิ่งมีชีวิตโดดเดี่ยวที่มองท้องฟ้าด้วยความเหงาและอ้างว้าง ต่างจากบรรพบุรุษครั้งกระนู้นที่เคยเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วรู้สึกว่ามีบางสิ่งข้างบนนั้นที่มีผลต่อชีวิตของตนอย่างลึกซึ้ง
นี่คือจุดเริ่มต้นที่มนุษย์เริ่มบูชาเทพเจ้า สร้างเทววิหาร สร้างตำนานเทพเทวี ซึ่งในทุกวันนี้อาจตัดขาดจาก ‘ความจริง’ ของธรรมชาติไปมากแล้ว เมื่อเทพกลายมาเป็นเพียงรูปปั้น ไม่ได้เชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ธรรมชาติอีกต่อไป
น่าทึ่งเหลือเกินว่า การย้อนกลับไปมองภาพวาดสองหมื่นปีบนผนังถ้ำทำให้เราเข้าใจความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาของสปีชีส์โฮโม เซเปียนส์อย่างเราๆ ในทุกวันนี้
ไม่เพียงท้องฟ้าเท่านั้น ปัจจุบันเราแยกตัวเองออกจากแทบทุกสิ่งในจักรวาลนี้