
ผมจะเล่าเรื่องผีให้คุณฟัง | เรื่องสั้น : รัฐ แสงเทียน

เรื่องสั้น | รัฐ แสงเทียน
ผมจะเล่าเรื่องผีให้คุณฟัง
“ผมจะเล่าเรื่องผีให้คุณฟัง”
เด็กหนุ่มหันขวับ…ทันเห็นตอนที่ไฟจากก้านไม้ขีดวาบส่งเงาของชายที่นั่งข้างกันขึ้นวาดผนังด้านหลัง ตรงนั้นร่มครึ้ม เงาศีรษะของเขาเหมือนยอดภูเขาเตียนโล่ง…มีหย่อมไม้หร็อมแหร็ม เหนือใบหูสองข้างที่ตอนนี้กลายเป็นก้อนหินประหลาด
เงานั้นทาบทับ…ท้าทายแผ่นป้ายบนผนัง
1.
ผมนั่งตัวแข็ง…ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนท้ายบุหรี่ที่เพิ่งเสียบเข้าปากบุบบี้ ผมไม่เชื่อเรื่องผี…เคยออกตัวไว้ด้วยว่าไม่กลัวผี แต่ลงว่าใครมานั่งสูบบุหรี่ที่เก้าอี้ยาวข้างห้องดับจิตกับเจ้าหน้าที่รักษาศพแล้วเขาเกริ่นมาแบบนี้เห็นจะต้องขนลุกชัน เขาหันมายิ้ม…ยิ้มที่เหมือนประตูบ้านเก่าแย้มฝืดเพราะแรงรั้งจากหยากไย่สานทอแห่งวันเวลานับศตวรรษ
“เคยได้ยินเรื่องผีเข้าสิงไหม” เขาขยับมือขีดไฟอีกก้านโดยไม่มองก่อนยกขึ้นจรดบุหรี่ของผม ผมโคลงหัวขอบคุณ
“เคยได้ยินสิครับ” ผมสูดลมหายใจสั้นๆ ปล่อยมันเป็นเมฆหมอกเหนือเงาภูเขาอุดมสมบูรณ์ของผม เมื่อเขาสะบัดก้านไม้ขีดไฟวับดับ ผมเริ่มสูดเข้าปอดลึกและพ่นออกมาแรงๆ แท่งขาวในปากทำให้เสียงอู้อี้ “ป้าผมก็เป็นร่างทรง”
ตอนที่พูดคุยกัน ผมเริ่มงานแผนกห้องผ้าได้เกือบสามสัปดาห์ รุ่นพี่ที่สอนงานเริ่มฝึกให้ผมแยกไปเก็บผ้าแต่ละวอร์ด ผมรับชั้นห้าและหก หล่อนจะรับเองทั้งชั้นสาม สอง หนึ่ง และสุดท้าย ชั้นสี่แผนกผ่าตัดและห้องพักฟื้น
ระหว่างรอคัดแยกผ้าซึ่งไปเก็บมาจากแต่ละวอร์ด แยกชนิดและนับจำนวน ผ้าลูบ ผ้าปูเตียง ปลอกหมอน ผ้าขวางเตียง กรอกลงเอกสาร พร้อมกับเจ้าหน้าโรงงานซึ่งมาส่งผ้าสะอาดและรอรับผ้าเปื้อนไปซัก
“นั่งเล่นแถวๆ นี้ไปก่อนนะ หรือจะไปหามื้อเช้ากินพลางๆ ก็ได้”
หากไม่ไปกินข้าวที่โรงอาหารหรือหากาแฟหน้าโรงพยาบาล ผมมักไปหลบมุมสูบบุหรี่หน้าห้องดับจิต ชั้นใต้ดินตรงนั้นถูกออกแบบให้เว้าว่างเป็นที่สำหรับจอดรถยนต์สองคัน ข้างๆ กันมีเก้าอี้ยาววางชิดผนังสำหรับญาตินั่งรอรับศพ และเพราะอยู่ในชั้นใต้ดินบริเวณนี้จึงเงียบและมืดครึ้มอยู่เสมอแม้จะเป็นเวลาเที่ยงวัน
ผมโดนย้ายจากแผนกเปลลงมาเพราะความไม่เอาไหน เวลาว่างที่คนไม่มีประสบการณ์ด้านปฐมพยาบาลมาก่อนควรเร่งเก็บเกี่ยววิชาความรู้จากรุ่นพี่และเอกสารเตรียมไว้ให้ศึกษา ผมกลับเอาแต่นอนอ่านหนังสือวรรณกรรม เริ่มฝึกเขียนกวีและบทวิจารณ์วรรณกรรม มาคิดได้ทีหลังว่าที่ยึดมันเป็นหลักอาจเพราะผมต้องการทดแทนความขาดแคลนในวัยเด็ก ผมลำดับการช่วยเหลือการประเมินผู้ป่วยขั้นต้นเพื่อสื่อสารกับทีมเคลื่อนย้ายผู้ประสบอุบัติเหตุแทบไม่ได้ ผลประเมินฝึกงานรอบสามเดือนไม่ผ่าน แต่เพราะผมเคยตอบสัมภาษณ์ว่าผมมาหาเงินเรียนหนังสือจึงพอได้รับเมตตาอยู่บ้าง ผู้จัดการแผนกบริการเมตตาสงสารจึงยอมเอาตำแหน่งของแกเองเป็นประกันให้ผมอยู่ต่อ มีข้อแม้ว่าอีกสามเดือนผมต้องผ่านประเมิน แต่เมื่อถึงเวลาผมก็ยังไม่ได้เรื่องได้ราว กระนั้นแกก็ยังเมตตาขอร้องให้ฝ่ายบุคคลทำเรื่องย้ายผมไปทำงานข้างล่าง
“กลัวผีไหม” ผมส่ายหน้า “ถ้าไม่กลัวผีละก็ งานง่ายๆ ไม่ต้องเข้าเป็นกะ” ผมตอบรับแม้จะทำให้ผมอับอายและจะได้เงินเดือนน้อยลงจนน่าใจหาย
ระหว่างที่ผู้จัดการแผนกบริการพาไปรู้จักห้องต่างๆ ซึ่งผมต้องใช้เป็นที่ทำงานใหม่ ผมได้เห็นเจ้าหน้าที่รักษาศพเป็นครั้งแรก เขานั่งสูบหรี่ตรงนั้น เมื่อเห็นเรา เขาเงยขึ้นเหลียวขึ้นมองป้ายทางด้านหลังของตัวเองก่อนจะค้อมหัวให้ผู้จัดการ รีบดับบุหรี่ด้วยการขยี้ส่วนที่ติดไฟลงบนเก้าอี้แล้วเขยกหายไปในห้องทำงานของตัวเอง
ต่อมาเมื่อทราบข่าวว่าผมได้เจอเจ้าหน้าที่ห้องศพแล้ว พี่ในแผนกเก่าที่สนิทกันก็เล่าสารพัดเรื่องราวชั้นใต้ดิน ทั้งยังสั่งผมว่าต้องกลับบ้านก่อนห้าโมงเย็น เรื่องเล่าเลยเถิดถึงขั้นที่ว่าเจ้าหน้าที่รักษาศพคนที่เดินเขยกสมสู่กับผีสาวทุกตนที่ย้ายลงมาใหม่
2.
“ผมจะเล่าเรื่องผีให้คุณฟัง” ผมอัดบุหรี่เข้าปอดคำใหญ่ เห็นเด็กหนุ่มเริ่มหน้าซีด…ผมคิดว่าควรเกริ่นเสียใหม่ “เคยได้ยินเรื่องผีเข้าสิงไหม”
“เคยได้ยินสิครับ” เขาทำท่าทีครุ่นคิด ดูไม่มั่นใจแม้จะตอบเรื่องง่ายๆ “ป้าผมก็เป็นร่างทรง”
“เป็นร่างทรงขององค์ไหนนะ” เขาเอ่ยนามเจ้าแม่ที่ลือลั่นว่าศักดิ์สิทธิ์และมีสำนักทรงไปทุกจังหวัด “อ๋อ แฟรนไชส์เจ้านี้ขายดี”
เขาหัวเราะจนสำลักควัน ผมคงเผลอยิ้มผ่านดวงตา นึกไม่ออกว่าเจ้าแม่องค์นั้นจะแบ่งภาคตัวเองยังไง
“ผมก็มีผีเข้าสิงบ่อยเหมือนกัน” อากาศนิ่งงันทำให้ควันกลายเป็นม่านคละคลุ้งไม่จางหาย
“งานใหม่เป็นไงบ้าง ดูไม่ค่อยชอบ”
เด็กหนุ่มสารภาพว่าเขาไม่ได้อยากร่ำเรียนอย่างที่บอกผู้จัดการ หลังเก็บผ้าเปื้อน นับส่งโรงงาน และส่งผ้าสะอาดตามวอร์ดเรียบร้อย งานของเขาเสร็จสิ้น เขาก็จะมีห้องผ้าสะอาดไว้แอบอ่าน…ฝึกเขียนหนังสือ
เมื่อเห็นว่าเขาหยุดครุ่นคิดอีก ผมล้วงมือถือออกมา กดปุ่มข้างให้หน้าจอสว่าง
“ไม่เป็นไรเลย วันนี้มีเคสใหม่ ผมไม่ว่างก็ยังดูหนังเลย” ผมพลิกจอให้เขาดูวิดีโอหยุดเล่นไว้กลางเรื่อง
“เรื่องอะไรนะครับ ภาพเก่าเชียว”
“Wings of Desire ผมดูเรื่องเดียว วนซ้ำๆ อยู่เรื่องเดียว” เมื่อเหลือบมองจึงเห็นว่าสายตาเขาเหม่อทอดเลยที่จอดรถไปจับยังผนังห้องผ้าเปื้อนซึ่งอยู่ตรงข้าม
ผมพูดต่อ “หลายคนตายทั้งที่ยังมีบางอย่างไม่สำเร็จลุล่วง บางคนมีเรื่องเข้าใจผิดแต่ยังไม่ทันอธิบาย ผมโดนผีพวกนี้เข้าสิงบ่อยๆ แต่พวกมันมีอำนาจควบคุมแค่ครึ่งเดียว สติอีกครึ่งผมยังรู้สึก ยังพอต้านทานได้หากผมจะพยายาม ในครั้งแรกๆ ผมปล่อยให้พวกเขายืมร่างซึ่งอย่างมากก็แค่สื่อสารสิ่งที่ค้างคา แต่การที่ผีออกมาพูดคุยบางเรื่องก็ทำให้โลกของคนเป็นวุ่นวายไปหมด สองสามครั้งต่อมาผมลองเติมบางอย่างที่ตัวเองต้องการเข้าไปในประโยค พบว่าผีพวกนี้ขอแค่ได้สื่อสารก็ยอมให้เราได้อะไรบ้างเหมือนกัน ญาติของผีบางตนถึงกับมอบเงินให้ผมมากมาย โชคดีที่ไม่นานต่อมาผมก็รู้สึกตัว”
“ไม่เห็นมีใครต้องมาอธิบายอะไรนี่ครับ” สายตาเขายังจับอยู่บนผนังห้องผ้าเปื้อน
“ความผิดมันทรมานได้แต่คนที่สำนึก…รู้สึกกับมัน คุกไม่ได้น่ากลัวกับทุกคน” ผมไม่แน่ใจว่าเขาตามสำนวนแบบผมทันหรือเปล่า
“ผมจะหลบไปในมุมที่ลึกที่สุด ให้พวกเขาเปล่งสิ่งที่ค้างคาให้จบ แต่ส่วนใหญ่มันเป็นเพียงความปรารถนา ความตั้งใจ ไม่ใช่ความจริงหรอก ถึงจะเป็นความจริง…ความจริงของคนตายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงของคนที่ยังอยู่ จากนั้นผมจะพยายามใช้สติอีกครึ่งเดินไปที่เตียงของพวกเขา ความพยายามแต่ละครั้งทำผมหมดสิ้นเรี่ยวแรง เมื่อถึงเตียงเปิดผ้าคลุมร่าง ให้พวกเขาเห็นตัวเองแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น”
3.
มีหลายครั้งที่คนที่เดินผ่านได้ยินเสียงเล่าและเข้ามาพบผมในสภาพหมดเรี่ยวแรง และก็เข้าใจไปอย่างนี้อย่างนั้น แต่ผมจบแค่นั้น ใครจะเข้าใจอย่างไร ต่อให้อธิบายเขาก็เข้าใจอย่างนั้น
เป็นเสียงหญิงสาวที่ทำให้เด็กหนุ่มรีบขยี้บุหรี่กับเหล็กยึดเก้าอี้ก่อนหันไปมอง ร่างของเจ้าหน้าหน้าที่เฝ้าศพสะท้านสั่น ถ้อยคำร่วงหล่นตามจังหวะขยับปากของเขา ขณะมือเขาแปะป่ายเหมือนกำลังหาที่ยึดเกาะ เท้าดูจะมุ่งไปที่ลิฟต์ตรงมุมอาคารด้านใน อาการขืนต้านนั้นทำให้ร่างเคลื่อนไปข้างหน้าได้แม้จะเอียงเกินจะเคลื่อนได้ตามกฎแรงโน้มถ่วง เด็กหนุ่มมือเท้าเย็นเฉียบ ดวงตาตะลึงงันได้แต่มองอย่างหวาดผวา
เขาเห็นสีหน้าปวดร้าวของใครสักคนเหมือนต่อสู้แย่งชิงพื้นที่เพื่อเหยียดหยัดบนสมรภูมิใบหน้ากับสีแห่งแปลกแยกโดดเดี่ยวที่คุ้นเคย แต่ที่สุดเจ้าหน้าที่รักษาศพก็กลับเข้าห้องทำงานของเขาได้สำเร็จ
เด็กหนุ่มนิ่งฟัง…นึกปะติดปะต่อเรื่องราวได้ยิน เขาคล้อยตาม เริ่มสงสาร ก่อนจะเขาจะรู้สึกอะไรไปมากว่านั้น เขาได้ยินเสียงอะไรสักอย่างร่วงตกทึบหนัก
เพื่อนใหม่ของเขาเขยกกลับออกมาพร้อมขยับเม็ดกระดุมเสื้อเหมือนต้องการคลายร้อน ท่าทีเหน็ดเหนื่อย
“พอผมเปิดผ้าให้เห็นร่างแน่นิ่งไร้ลมหายใจ เธอก็ใช้แรงของผมพลิกร่างของตัวเองร่วงจากเตียง”
4.
“ผมจะเล่าเรื่องผีให้คุณฟัง” เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ยาว “เร็วๆ นี้ ผมมีผีตนหนึ่งมาสิง” เขาเลียนเสียงเทวดาในภาพยนตร์ Wing of Desire ของ Wim Wenders เริ่มเล่าที่มาที่ไปเล่าว่าเขาไปโพล่งไว้หลายๆ ครั้งว่าจะวิจารณ์หนังสือเล่มหนึ่ง เล่มที่คนส่วนใหญ่เข้าใจมันไปคนทิศละทางกับเจ้าของผลงาน จนนานแล้วนานเล่ายังไม่เผยแพร่ผ่านที่ไหนสักที เขายังไม่หยุดพล่ามจนหลายคนเริ่มหมั่นไส้ แต่ด้วยความเมตตาเจ้าของหนังสืออาสาจะดูให้ แล้วเขาก็พบว่าเขาได้รับคำสอนสั่งที่ทำให้เขียนวิจารณ์ได้ดีขึ้นแต่เขาไม่อาจยอมรับสิ่งที่เป็นดั่งไฟล์แนบคู่กันมา เขาอยากวิจารณ์สิ่งที่เห็นด้วยเครื่องมือที่เขามี ไม่อยากเผยแพร่ถ้ามันไม่ใช่งานที่เขาพอใจ…แม้จะดูว่าเขาเป็นคนขี้โอ่หรือโง่งมก็ตาม
“ผีไม่ได้น่ากลัวจริงๆ ครับ และความเข้าใจผิดอาจน่าหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่ถ้าหากผมหาเศษหาเลยจากการที่พวกเขาใช้ร่างผมพูดสิ่งที่ค้างคานี่สิ แน่ล่ะ ครอบครัวที่ยังขาดแคลนอาจจะได้ประโยชน์จากผีตนนั้นอยู่บ้าง แต่ผมคงไม่อาจยอมรับนับถือตัวเอง”
เด็กหนุ่มกดเปิดหน้าจอมือถือให้ดูว่าเปิดหนัง Wings of Desire จากเว็บหนังเถื่อน
“เราก็ทุจริตเล็กๆ น้อยๆ กันทั้งนั้น” เจ้าหน้าที่รักษาศพยืนยัน ก่อนลุกยักแย่ยักยันหายไปในห้อง เขาเขยกออกมาพร้อม บุหรี่ เหล้าขาว สายสิญจน์ และกรรไกรในมือ
เขารินเหล้าลงแก้วที่เด็กหนุ่มถือ เอาสายสิญจน์ผูกข้อมือเด็กหนุ่ม…แล้วตัดฉับ
“ผมจะเล่าเรื่องผีให้คุณฟัง”
ไฟจากก้านไม้ขีดวาบส่งเงาขึ้นวาดผนัง เงาศีรษะของเขาเหมือนยอดภูเขาเตียนโล่ง…มีหย่อมไม้หร็อมแหร็ม เหนือใบหูสองข้างที่ตอนนี้กลายเป็นก้อนหินประหลาด ก่อนไฟจากไม้ขีดอีกก้านจะฉายภาพภูเขาเตียนโล่งลูกที่สองบนผนังด้านหน้าห้องดับจิต เงานั้นทาบทับ…ท้าทายแผ่นป้ายบนผนัง
ห้ามสูบบุหรี่!