

บทความพิเศษ | ภาสกร ประมูลวงศ์
Songs in The Key of Life
: ก่อนเวลาจะผ่านไป
เมื่อใดก็ตามที่ได้กลิ่นละอองฝน ผมก็อดคิดถึงเพลงนี้ไม่ได้
Time After Time ของ ซินดี้ ลอว์เปอร์ (Cyndi Lauper)
ประหนึ่งได้กลิ่นความรักครั้งแรก ท่วงทำนองอ่อนพลิ้วไพเราะเศร้าสร้อยอ้อยอิ่งเหมือนคนโดนภาพอดีตย้อนกลับมาทำร้าย
อยากฟังไปเรื่อยๆ โดยไม่อยากให้จบ
แถมเป็นเพลงแรกของหญิงซ่าส์แห่งยุค 80’s ที่ไต่ขึ้นอันดับหนึ่งสำเร็จ ในกาลสมัยที่การต่อสู้ของนักร้องสตรีดุเดือดเลือดพล่านเพราะอดที่จะถูกนำมาเปรียบเทียบไม่ได้กับมาดอนน่า (Madonna)
ทว่า หลายๆ อย่างในตัวเธอมันบ่งบอกว่า เมื่อมองในแง่งามเฉพาะในส่วนของดนตรีเท่านั้น
ตอนนั้นซินดี้อาจเป็นต่อนิดๆ ในอัตรา 5/4 ชนิดแฟนๆ แย่งกันรอง เพราะป้าแกมีรากฐานมาจากเพลงบลูส์ ไม่เชื่อลองดูอัลบั้มที่แกร้องไว้ให้หลานๆ ฟังอย่าง Memphis Blues ซึ่งขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ต Billboard Blues Album
ผมเองเคยฟังป้าแกร้องสดๆ ในบาร์ที่นิวยอร์ก ขอรับรองว่าของเค้าดีจริงๆ




Time After Time ได้ไอเดียในส่วนของชื่อเพลง (เท่านั้น) มาจากภาพยนตร์ไซไฟย้อนเวลาดูกันเพลินๆ
เนื้อหาพูดถึงนักวิทยาศาสตร์ที่ประดิษฐเครื่องเดินทางข้ามเวลาและสถานที่ซึ่งไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับสัดส่วนของดนตรีเลย
เนื้อหาเศร้าสร้อยโหยหวนพลัดพราก
การเล่นกับความทรงจำของคนดูเหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จที่ใช้การได้ดีเสมอเพราะถือเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชน
ทีเด็ดคือท่วงทำนองที่ไพเราะมากเสียจนฟังแล้วลืม Girls Just Want to Have Fun ไปเลย
ยิ่งภาพใน MV หญิงสาวเดินหนีจากอะไรสักอย่างมาหลบเดียวดายในซอกสลัวของตึกใหญ่ เป็นเฟรมใกล้เคียงกับที่เคยเห็นในภาพยนตร์ Breakfast At Tiffany’s
เมื่อแมวดำพเนจรหนีออกจากอ้อมกอดของนายแล้วไปหยุดตัวเองที่ตรอกเล็กๆ เสมือนคนหวาดกลัวอนาคตในขณะเดียวกันก็ไม่กล้าสู้หน้ากับอดีต ได้แต่ซุกกายตัวสั่นระริกในด้านหนึ่งของมุมตึกท่ามกลางฝนโปรยปราย
ต้องการความช่วยเหลือแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก
อยากมีใครสักคนแต่อายเกินกว่าจะปริปากบอกความจริงในใจ
ได้แต่อ้อมไปอ้อมมาจนอึดอัดและห่างๆ กันไปในที่สุด
อยู่ตรงนี้ บอกไว้ก่อน วอนเธอรู้
ในฤดู ที่ความเศร้า เฝ้าเพรียกหา
คิดถึงใคร สักคนผ่าน กาลเวลา
ใครจะมา เทียบเคียงได้ ไม่เท่าเธอ
อีกค่ำคืน กำลังผ่าน พาลรำลึก
กลายเป็นนึก เคยชิดใกล้ ใจมันเผลอ
เธอเคยเตือน ให้ฉันนิ่ง จริงของเธอ
แอบเผอเรอ เลยพลัดล้ม ตรมตรอมใจ
ถ้าฉันหาย เธอจะหา มาให้เห็น
ถ้าฉันเย็น เธอจะอุ่น หนุนใกล้ๆ
ภาพถ่ายจาง ราตรีเยือน เหมือนเตือนใจ
อยากย้อนไป ก่อนคลาดคลา และพร่าเบลอ
ความทรงจำ ช่างเรรวน ล้วนน่าขำ
เรื่องควรจำ เรากลับลืม ฝืนเสมอ
หมุนเข็มทวน ชวนให้คิด ผิดไหมเธอ?
อย่าให้เก้อ ด้วยความหวัง ยังเฝ้าคอย
Time After Time เขียนโดยตัวป้าเองกับ ร็อบ ไฮแมน (Rob Hyman) อดีตสมาชิก The Hooters แถมพ่วงอดีตคนรู้ใจไว้อีกตำแหน่ง
“เราเริ่มต้นด้วยชื่อเพลงแล้ววางเป็นคอนเซ็ปต์กว้างๆ ผมเล่นเปียโนด้วยคอร์ดเปล่าไปเรื่อย เราเริ่มด้วยท่อนฮุกแล้วค่อยๆ สร้างรูปแบบคำร้อง ในช่วงแรกดูเหมือนจะเป็นเพลงแนวเร็กเก้ (ไม่แปลก เพราะนั่นคือปี 1982) แต่ก็นั่นแหละครับ เมื่อมันจบก็อย่างที่คุณๆ ได้ฟัง มันสวยงาม” เขากล่าวไล่ความทรงจำไว้
“หลายคนคิดว่านี่เป็นเพลงรัก ผมกลับคิดอีกแบบว่ะ มันน่าจะเป็นเพลงสำหรับใครสักคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ใครที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนรัก คนแปลกหน้าที่คุณโคตรจะสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ๆ คุยกันได้ทุกเรื่อง จนวันหนึ่ง กาลเวลาก็ทำให้ต้องจากห่างกันไป ทว่า เมื่อพบตัวเองอยู่ในสภาพเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย คุณอดที่จะคิดถึงเขาหรือเธอคนนั้นไม่ได้ นี่คือแก่นของ Time After Time”
เพลงถูดตัดเป็นซิงเกิลที่สองต่อจาก Girls Just Want to Have Fun
เพลงดีแต่ไม่มีวาสนาขึ้นอันดับหนึ่ง (เพราะไปเจอกระดูกชิ้นเขื่องอย่าง Jump (Van Halen) ขวางทางไว้)
เพลงนี้ไปถึงยอดบนสุดของชาร์ตแล้วป้าก็ไม่มีผลงานอันดับหนึ่งอีกเลย
จนสองปีต่อมากับ True Colors เพลงเศร้าๆ เพลงนั้น “มันเหมือนบททดสอบอย่างนึงนะ” ป้าซินดี้พูด
“เหมือนเราต้องการใครสักคนแล้วเค้ามาปรากฏตัวก็ดีไป แต่ถ้าไม่ล่ะ? เราจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร ป้าเขียนเพลงนี้จากชีวิตจริง ดังนั้น ป้าเลยไม่ต้องพยายามไปเค้นอะไรมาก แค่เล่าเรื่องตัวเองให้ชาวบ้านฟังผ่านเสียงดนตรี”
ป้าแกพูดไม่ผิดครับ เพราะในช่วงแรกของ MV ซินดี้ดูหนังคลาสสิค Garden of Allah (1936) เนื้อหากล่าวถึงความรักที่ไม่สมหวังก่อนจบลงด้วยหายนะทางความรัก
ทว่า ใน MV ตัวละครหญิงกลับคิดถึงชีวิตตัวเอง ว่าแล้วก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าหนีออกจากบ้านและฉากหนึ่งในรถเราจะเห็นว่าเธอมีน้ำตา
“ป้าร้องไห้จริงๆ ว่ะ” ซินดี้เอ่ยกับหนังสือพิมพ์ Daily Mail
“ป้าเคยมีชีวิตแบบนั้น ทั้งชีวิตอยู่กับกระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียว โบกรถไปในที่ที่คิดว่ายังมีคนต้องการแต่เอาจริงๆ ก็คือคนที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง ตอนนี้ป้าอาจมีคนจำได้อยู่บ้าง แต่ตอนนั้นป้าไม่มีใครเลย นึกขึ้นมาแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเอง” เธอสารภาพ
ซินดี้ ลอว์เปอร์ เคยเป็นนักร้องนำ Blue Angel วงแตกเละเทะล้มไม่เป็นท่าในช่วงต้นทศวรรษที่ 80’s
น่าจะเป็นโชคดีที่แกยังเหลือสัญญากับ Portrait Records ค่ายส่ง ริก เชอร์โทฟฟ์ (Rick Chertoff) มาดูแล
ริกมองว่า ถ้าส่งป้าแกร้องแนวเดิมต่อไปเห็นท่าจะต้องเอาหน้าปกอัลบั้มไปพับเป็นถุงกล้วยแขกขาย
คิดได้ดังนั้นเลยชวนสองเพื่อนซี้มาช่วยกันโปรดิวซ์ อีริก บาซิลเลี่ยน กับ ร็อบ ไฮแมน (Eric Bazilian Rob Hyman, The Hooters)
ได้ผล สองคนช่วยกันปลุกปั้นจนป้าแกเปลี่ยนแนวการร้องไปเป็นในแบบ Mainstream นั่นคือที่มาของอัลบั้ม She’s So Unusual
“ระหว่างที่เรากำลังพูดคุย ป้าซินดี้กระโดดโลดเต้นไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ปกติ (She’s So Unusual) พลังงานท่วมท้นมากรวมถึงความคิดสร้างสรรค์ ความต้องการที่จะค้นหาสิ่งใหม่ๆ ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง ผมลองให้เธอร้องเดโม่กับวง มันเวิร์กมาก พูดง่ายๆ อัลบั้มนี้ก็คือ The Hooters ในเวอร์ชั่นที่มีนักร้องหญิง”
Time After Time ถูกคัฟเวอร์โดยศิลปินมากหน้าหลายตาแต่ที่ต้องล้อมกรอบเลี่ยมทองเอาไว้คือฉบับของตำนานทรัมเป็ตแจ๊ซ ไมลส์ เดวิส (Miles Davis)
“ตอนนั้นไมลส์มีเพลงฮิตอยู่แล้วประมาณ My Funny Valentine หรือ If I Were A Bell” จอร์จ โคล ผู้เขียนหนังสืออัตชีวิต The Last Miles: The Music of Miles Davis กล่าว
“เค้าไปได้ยิน Time After Time แล้วเกิดอาการหลงใหล จนเพลงนี้ถูกเล่นในทุกคอนเสิร์ตนับตั้งแต่ปี 1985 เรื่อยไปถึงวันที่เขาจากไป ถ้าคุณพอจะเลือกฟังได้ผมแนะนำเวอร์ชั่นไลฟ์ มันเด็ดดวงกว่าที่แขวนอยู่ในอัลบั้ม”
ผมเคยเห็นผ่านๆ ตาใน Tube ยังพอหาฟังได้ครับ และจริงดั่งจอร์จว่า เพลงมันข้ามไปเป็นอีกพรมแดนจริงๆ
มากกว่านั้น ปี 2016 เพลงนี้ยังข้ามอีกพรมแดนไปอยู่ในหนังโฆษณาของฟาสต์ฟู้ดเจ้าดัง A Better McNugget ที่ว่าด้วยเรื่องราวของเหตุการณ์ในชีวิตผ่านเวลาที่แตกต่างของพ่อลูกคู่หนึ่ง โดยฉากจบสามารถเรียกน้ำตารื้นๆ ออกมาได้
นี่คืออิทธิพลของสิ่งที่เราเรียกว่า “เสียงเพลง” และการเดินทางของประโยคในนั้นที่ออกเสียงว่า “กระเป๋าเดินทางของความทรงจำ” (Suitcase of Memories)
“ผมเอามาจากชีวิตจริงว่ะ จะเล่าให้ฟัง” ร็อบ คนเขียนประโยคนั้นเอ่ย “ซินดี้โบกรถมาจากฟิลาเดลเฟีย พักอยู่กับเพื่อนขณะเรากำลังฟอร์มวง Back Up ผมเห็นทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่กระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียวเลยถาม นั่นแหละเธอถึงตอกกลับมาว่า Suitcase of Memories”
เช่นเดียวกับประโยค Lying in my bed I hear the clock tick and think of you
“ตอนนั้นป้าอยู่กับแฟนเก่า ป้ามีนาฬิกาหัวเตียงอยู่เรือนหนึ่ง แฟนเก่าป้าทำพังเลยหาของใหม่มาแทน เสียงเข็มดังมากจนป้านอนไม่หลับ สุดท้ายก็ทิ้งไปพร้อมๆ กับคนให้ โดยมีความสัมพันธ์เลวร้ายเป็นของแถม” ป้าซินดี้เล่า
Time After Time ใช้เวลาคิด/เขียน/ผลิต ไม่นานกลับบรรลุผลเกินคาด มันหาใช่เพลงที่พูดถึงความสุขแน่ๆ ตรงกันข้าม มันหมองหม่น อ้อยอิ่ง เจ็บปวด สับสน รู้สึกได้ว่ามีความจริงซ่อนอยู่
สอดคล้องกับนักแต่งเพลงระดับอาจารย์ที่เคยบอกผมว่า เพลงที่ดีนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเล่าถึงเรื่องราวที่ดีหรือทำนองไพเราะแต่เพียงอย่างเดียว มันต้องกระตุ้นให้คนรู้สึกอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปโดยไม่จำเป็นต้องอินกับเนื้อเพลง…
จริงครับ อย่างที่ผมเคยพูดไปตอนต้น ฟังเพลงนี้แล้ว ผมได้กลิ่นความรักครั้งแรก
สำหรับคนบางคน ความรักครั้งแรกก็เป็นความรักครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน