

บทความเศรษฐกิจ
เอกชนห่วง ‘เขย่า ครม.’ กลางคัน
งานสะดุด-ฉุดเชื่อมั่นนักลงทุน
บรรยากาศของประเทศไทยในห้วงเวลานี้ ดีกรีความร้อนแรงคงหนีไม่พ้น “เหตุบ้านการเมือง” ที่กำลังเขย่าโผจัดทัพเก้าอี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) กันอีกระลอกใหญ่ให้ลงตัวภายในเดือนมิถุนายน หรืออย่างช้าไม่เกินเดือนกรกฎาคม 2568 นี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเด็น “ความไม่แน่นอน” ทางการเมือง สร้างความกังวลต่อภาคเอกชน ที่หวั่นใจจะทำให้นโยบายที่รันกันมาอาจจะสะดุดกลางทาง
ในขณะเดียวกันก็มีความคาดหวัง “ครม.ชุดใหม่” จะเป็นการทำเพื่อให้การบริหารประเทศมีศักยภาพมากกว่าเดิม ไม่ใช่ทำเพื่อเกลี่ยผลประโยชน์ให้แก่กัน พลันที่การจับมือจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ
รวมถึงจับมือกันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังถูกถาโถม ทั้งปัจจัยภายที่กำลังซื้อซึมลึก คนรัดเข็มขัด ประหยัดการใช้จ่าย กระทบต่อธุรกิจแทบทุกกลุ่มแบบถ้วนหน้าไม่ว่ารายใหญ่ไปถึงรายเล็ก
ขณะที่ปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุม ก็ยังไม่มีท่าทีคลี่คลาย ไม่ว่าสงครามการค้า ภาษีทรัมป์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ยังไปไม่ถึงเป้า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาต่ำเป้ากว่า 30% หลังจากประเทศไทยมีภาพลักษณ์เชิงลบด้านการท่องเที่ยวต่อสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ จากกรณีนักแสดงจีน “ซิงซิง” หายตัวไปบริเวณชายแดนไทย ซึ่งใช้ไทยเป็นทางผ่านไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้าน ตามมาด้วยการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ไทยถูกมองว่ามีเอี่ยวในเส้นทางอาชญากรรมหนักๆ เหล่านี้
ยังซ้ำเติมด้วยเหตุการณ์ “แผ่นดินไหวใหญ่” เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำความไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
เมื่อเศรษฐกิจว้าวุ่น ทั้งศึกใน-ศึกนอก จึงเกิดเกิดกระแสการปรับ ครม.ในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร หลังเข้ามาบริหารประเทศได้เพียง 9 เดือน นับจากเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ยอมรับภายหลังการประชุม ครม.นัดล่าสุดว่า “กำลังพิจารณาปรับ ครม.อยู่ในใจ”
เมื่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนวนกลับมาอีกครั้ง ถือเป็นเรื่องที่ภาคเอกชนไม่อยากเห็น เพราะสร้างความกังวลในด้านหลายทั้งปัจจุบันและอนาคต
“วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา” รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย ระบุว่า ความกังวลในแผนงานของรัฐบาลที่อาจเกิดความไม่ต่อเนื่องมีอยู่ตลอด แต่หากรัฐบาลสามารถวางแผนไว้ได้ดี มีข้าราชการประจำที่มีฝีมือ สามารถดูแลและสานต่อการทำงานในเชิงปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ รวมถึงเห็นผลเชิงบวกอย่างชัดเจน แบบนี้ถือว่าไม่ได้น่ากังวลมากนัก
ในเชิงนโยบายหลักระดับของรัฐบาล ที่ประกอบทั้งรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยว่าการ และผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างๆ ผู้มีหน้าที่สำคัญเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นใครเข้ามาทำหน้าที่ ก็ต้องสานต่อเรื่องที่ค้างมือไว้ โดยเฉพาะการเจรจาร่วมกับสหรัฐที่เริ่มต้นมาแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้สำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม เป็นการรับมือกับความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศ หรือปัจจัยโลก
แต่เรื่องเฉพาะในประเทศเอง ก็ไม่สามารถทิ้งไปได้ เพราะการเติบโตของจีดีพีไทย ต้องพึ่งพารายได้อีก 30-40% จากการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณจากรัฐบาลที่ต้องเร่งรัดเบิกจ่ายให้ได้ประสิทธิาภาพตามแผนงานที่วางไว้ เนื่องจากเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนจะหมดปีงบประมาณ 2568 และขึ้นปีงบประมาณใหม่ ซึ่งหากเดินหน้าตามแผน หรือทำให้เกิดความต่อเนื่องไม่ได้ ความเสี่ยงจะรุนแรงมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นใครที่ดูแลในงานไหน ก็ต้องเร่งทำให้ดีที่สุด ยกตัวอย่างในเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทำให้มีเม็ดเงินกระจายสู่ภาคประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว จึงถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ภาครัฐ จะต้องดำเนินการทันทีและต้องมีความต่อเนื่อง ไม่เกิดการล่าช้าขึ้นอีก
ส่วนความกังวลในสายตานักลงทุนต่างประเทศ จะมีผลต่อความเชื่อมั่นหรือไม่ “วิศิษฐ์” มองว่าไม่ได้เป็นความน่ากังวลขนาดนั้น เพราะรัฐบาลไทยในปัจจุบัน เป็นรัฐบาลผสม มาจากหลายพรรคการเมือง เรื่องการปรับเปลี่ยน จึงเป็นเรื่องที่คาดเดากันได้อยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้น เพียงแต่จะเกิดขึ้นในช่วงใด ช้าเร็วมากเท่าใด หรือเป็นไปในทิศทางใด ก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกัน จึงเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นการติดขัดอะไรต่อสายตานักลงทุนต่างชาติ หรือความเชื่อมั่น
โดยภาพรัฐบาลในปัจจุบัน ไม่ว่าจะมีการปรับ ครม. หรือไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรขึ้น รัฐบาลก็ต้องเร่งเดินหน้าการดูแลเรื่องเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
สอดคล้องกับมุมมองของผู้คว่ำหวอดในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว “อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์” เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ซึ่งได้สะท้อนว่า กระแสการปรับ ครม. เชื่อว่ามีผลต่อจิตวิทยาอย่างแน่นอน โดยตลาดในประเทศ ปัจจุบันคนไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดการชะลอตัวในการเดินทางท่องเที่ยว ส่วนตลาดต่างประเทศ อาจมีผลต่อการลงทุนจากต่างประเทศ นักลงทุนที่จะตัดสินใจมาประเทศไทย อาจต้องรอดูท่าทีและนโยบายของ ครม.ชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้น
สำหรับในส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานั้น “อดิษฐ์” ระบุว่าภาคเอกชนคาดหวังว่าจะไม่เปลี่ยนตัวเจ้ากระทรวง เนื่องจากเพิ่งทำงานได้ 10 เดือน มีนโยบายและมาตรการที่จะต้องพลิกฟื้นตลาดในครึ่งปีหลัง ผ่านงบประมาณลงทุนในระยะกลาง ระยะยาว ซึ่งภาคการท่องเที่ยวถือว่ามีผลต่อการยกระดับการท่องเที่ยวแข่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในอนาคตอย่างมีนัยยะสำคัญ
ดังนั้น เรื่องสำคัญเร่งด่วนหลังรัฐบาลปรับทัพ ครม.ใหม่ จึงเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เศรษฐกิจปากท้อง รวมถึงความต่อเนื่องของทั้งนโยบายและการลงมือปฏิบัติจริง
สปอตไลต์จึงสาดส่องไปที่งบฯ กระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลผันจากโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 และเฟส 4 มาเป็นโครงการก่อสร้างถนน พัฒนาแหล่งน้ำ กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้กระจายไปถึงรากหญ้า เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้ไปต่อได้ ท่ามกลางพายุใหญ่หลายลูกที่กำลังซัดเศรษฐกิจไทยอยู่ในขณะนี้
จะแผลงฤทธิ์ได้มากน้อยขนาดไหน!