

บทความพิเศษ
ส่งมอบ ความคิด
สำนึก ทาง ‘ประวัติศาสตร์’
บทบาท สะพานเชื่อม
ต่อกรณีการเข้ามาของ “แท่นพิมพ์” ประสานกับบทบาทของหมอบรัดเลย์ที่สะท้อนออกผ่าน “บางกอก รีคอร์เดอร์” รวมถึงผลสะเทือนทางความคิดอันตกกระทบไปถึง ก.ศ.ร.กุหลาบ
ทำให้ข้อสังเกตของ อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ใน “การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของชนชั้นผู้นำไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ถึงพุทธศักราช 2475”
ได้รับความสนใจเป็นอย่างสูง
โดยเฉพาะในตอนว่าด้วย “รากฐานทางความคิดของสำนึกประวัติศาสตร์แบบใหม่” เมื่อถกแถลงในประเด็น “ความเปลี่ยนแปรความคิดทางเวลา : เวลาของสังคมและเวลาของมนุษย์”
ยิ่งเมื่อนำไปวัดผ่านบทว่าด้วย “สำนึกทางประวัติศาสตร์” ที่ฝังประทับในทาง “ความคิด”
ยิ่งทำให้ตระหนักในลักษณะอันเป็น “สะพานเชื่อม”
นั่นก็คือ ไม่เพียงแต่ความคิดที่ก้าวหน้าอันมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปรทางด้านเวลา หากแต่ยังดำเนินไปในลักษณะอันเป็นการร้อยและส่งต่อจากชนชั้นนำซึ่งเป็นชนชั้นสูงไปยังสามัญชน
ไม่ว่าจะเป็นคนอย่าง ก.ศ.ร.กุหลาบ ไม่ว่าจะเป็นคนอย่าง ต.ส.ว. วัณณาโภ เทียนวรรณ
จากบทว่าด้วย “สำนึกทางประวัติศาสตร์กับการสถาปนารัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ต่อเนื่องมายังบทว่าด้วย “รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์กับการเกิดสำนึกเชิงปัจเจกชน”
ช่วงการขยายตัวของเศรษฐกิจแบบเงินตราฉายภาพลึกลงไปยัง การเกิดอาชีพเฉพาะใหม่ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม
จำเป็นต้องอ่าน
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
: สำนึก ประวัติศาสตร์
ภายหลังการทำสนธิสัญญาการค้าเสรีปี พ.ศ.2398 แล้ว สังคมไทยก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอันยังผลอย่างไพศาลต่อคนกลุ่มต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย กล่าวคือ นอกจากในส่วนที่กระทบชนชั้นสูงที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระบบความสัมพันธ์ทางสังคม
คือ การเลิกไพร่เลิกทาสแล้ว ผลกระทบการค้าเสรีที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ส่งผลต่อกลุ่มคนกลุ่มอื่นๆ ในสังคมเช่นกัน คือการเกิดอาชีพเฉพาะใหม่ๆ ขึ้นมากมาย
สินค้าหรือเครื่องมือเครื่องใช้ที่แต่ละครอบครัวเคยผลิตเองใช้เองก็ได้เริ่มหันมาพึ่งตลาดมากยิ่งขึ้น อาชีพค้าขายและอาชีพบริการต่างๆ ได้เริ่มขยายตัวไปตามเมืองที่ราบลุ่มภาคกลางและตามหัวเมืองที่เป็นศูนย์ขนถ่ายสินค้า
จำนวนผู้ประกอบาชีพเฉพาะหรือประกอบอาชีพด้วยวิชาชีพอิสระได้ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
การขยายตัวของผู้ประกอบอาชีพอิสระเช่นนี้มีความหมายที่เกี่ยวพันอยู่กับตัวผู้ประกอบการเองและสังคมทั้งสังคม ในระบบเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งอยู่กับความสามารถหรือศักยภาพของตนเองเช่นนี้ทำให้บรรดาผู้ประกอบการพยายามขวนขวายที่จะพัฒนาหรือเพิ่มศักยภาพของตน
ดังปรากฏว่าชาวจีนส่วนหนึ่งได้ส่งลูกหลานไปศึกษาวิชาค้าขายในต่างประเทศ
นอกจากผู้ที่ทำการค้าขายแล้วอาชีพอิสระอื่นๆ ที่เกิดขึ้นล้วนแต่เรียกร้องศักยภาพส่วนตัวของผู้ประกอบการทั้งสิ้น
อาชีพเสมียนในบริษัทห้างร้านเรียกร้องให้มีความรู้พิเศษ เช่น การทำบัญชี ความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศ อาชีพหนังสือพิมพ์ยิ่งต้องการมากกว่าปกติเสียอีก
แม้ว่าด้านหนึ่งการดำรงอยู่ของหนังสือพิมพ์ได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากหลายๆ ฝ่าย แต่ในรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ผู้ประกอบการหนังสือพิมพ์จำเป็นที่จะต้องมีศักยภาพทางปัญญาและจิตใจที่ค่อนข้างสูง
เพราะต้องทำงานภายใต้การควบคุมดูแลของผู้มีอำนาจเด็ดขาดสูงสุด
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ได้หล่อหลอมคนที่มีส่วนสัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงให้มีความรู้สึกนึกคิดที่เกี่ยวกับตนเองในฐานะ “มนุษย์” แตกต่างไปจากเดิม
ทำให้เกิดสำนึกที่ว่าตนเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับมนุษย์คนอื่นๆ สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้และตนเป็นผู้หาเลี้ยงตัวด้วยศักยภาพแห่งตน
ความสำนึกนี้ปรากฏอย่างชัดเจนในวิธีคิดในกลุ่มพ่อค้าหรือผู้ประกอบการ
อุบัติ แห่ง กลุ่มอาชีพ อิสระ
หนังสือพิมพ์ นักหนังสือพิมพ์
ความสำนึกในศักยภาพของปัจเจกชนนี้ได้แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนในการสื่อสารในสังคม นับแต่ปลายรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ปรากฏว่า มีหนังสือพิมพ์ออกจำหน่ายอย่างกว้างขวางมากขึ้น
การเกิดขึ้นมาของหนังสือพิมพ์มิได้มีความหมายเพียงแค่ว่ารัฐบาลเปิดโอกาสให้สิทธิเสรีในการทำจึงทำให้จำนวนของหนังสือพิมพ์มากขึ้นเท่านั้น
หากแต่ปัจจัยสำคัญ คือ การเกิดความสำนึกในศักยภาพของปัจเจกชนในกลุ่มคนที่ต้องการรับรู้ข่าวสารให้มากขึ้นกว่าเดิม และในกลุ่มผู้ประกอบการหนังสือพิมพ์ จึงทำให้หนังสือพิมพ์ปรากฏขึ้นมาในบรรณพิภพอย่างมากมาย
หลวงวิจิตรวาทการ กล่าวในปาฐกถาเรื่อง “กำเนิดหนังสือพิมพ์” ผ่านสถานีวิทยุศาลาแดงเมื่อเดือนสิงหาคม 2473 ว่า
“หนังสือพิมพ์เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด
คนที่มีหนังสือพิมพ์อ่านก็เหมือนพระเจ้าแผ่นดิน พอตื่นเช้าก็ได้รับรายงานเหตุการณ์ต่างๆ ทั่วประเทศ”
ซึ่งมีความหมายว่าศักยภาพของปัจเจกชนนั้นสามารถที่จะพัฒนาได้โดยการรับรู้ เรียนรู้ที่กว้างขวาง โดยผ่านทางหนังสือพิมพ์
เนื้อดิน ทาง ความคิด
สะพานเชื่อม ความคิด
สภาพการณ์ดังที่ อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำเสนอเช่นนี้เองคือ “เนื้อดิน” อย่างดีไม่เพียงแต่ต่อชนชั้นนำซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์เท่านั้น หากแต่ยังกินแดนมายัง “สามัญชน” อย่างมีนัยสำคัญ
นั่นจึงเห็นได้จากการเกิดขึ้นของ “สยามประเภท” ของ ก.ศ.ร.กุหลาบ นั่นจึงเห็นได้จากการเกิดขึ้นของ “ตุลวิภาคพจนกิจ” ของ ต.ว.ส. วัณณาโภ
อัน ปรีดี พนมยงค์ ระบุใน “ชีวประวัติย่อของ นายปรีดี พนมยงค์” ตอนหนึ่งว่า
“เมื่อครั้งข้าพเจ้าเรียนในชั้นมัธยมเบื้องต้นสมัย 60 ปีกว่ามาแล้ว เคยได้ยินและได้อ่านและได้พบคนธรรมดาสามัญที่มีอายุชราแล้ว 2 คน
คือ ก.ศ.ร.กุหลาบ ที่ออกนิตยสาร ‘สยามประเภท’ แต่แคะไค้ระบบฯ จนมีผู้ใส่ความว่าผู้นี้มีจิตฟุ้งซ่าน แต่เมื่อข้าพเจ้าไปพบก็ไม่เห็นว่าท่านจิตฟุ้งซ่าน อีกคนหนึ่งคือ ‘เทียนวรรณ’ ซึ่งมีฉายาว่า ‘วัณณาโภ’
ท่านผู้นี้มีคติประชาธิปไตยมาก ขณะนั้นท่านหนวดขาวแล้ว ประมาณว่าขณะนั้นมีอายุเกือบ 70 ปี ข้าพเจ้าพบที่ตึกแถวใกล้วัดบวรนิเวศ
ท่านผู้นี้เคยติดคุกเพราะเขียนหนังสือและโฆษณาที่ขัดแย้งระบบฯ ท่านเห็นว่าท่านไม่ผิดกฎหมาย กรณีของท่านเข้าลักษณะคำพังเพยโบราณที่ว่า ‘กฎหมายสู้กฎหมู่ไม่ได้’ ซึ่งแสดงถึงการเล่นพวกของตุลาการสมัยโบราณ”
นั่นเป็นข้อเขียนของ นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2525
จาก ก.ศ.ร.กุหลาบ
มายัง ต.ว.ส. วัณณาโภ
จากนี้จึงเห็นได้ว่า นับแต่พวกมิชชันนารีได้นำแท่นพิมพ์เข้ามา และหมอบรัดเลย์ได้ออกหนังสือพิมพ์ “บางกอก รีคอร์เดอร์” หมอสมิธได้ตั้งโรงพิมพ์และพิมพ์นิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณี พร้อมกับออกหนังสือพิมพ์ “สยามออบเซอร์เวอร์”
แท่นพิมพ์ได้มีบทบาทเข้าแทนที่การจารลงสมุดข่อยและใบลานได้ช่วยทำให้วรรณกรรมทั้งใหม่และเก่าแพร่หลายออกไปอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ได้พังทลายสภาพการผูกขาดหนังสือที่เคยสะสมกันในวงแคบเฉพาะชนชั้นสูง
ให้แผ่ออกไปสู่มือของสามัญชนมากยิ่งขึ้น ถึงขนาดที่ อุทิศ ประสานสภา ตอกย้ำด้วยความมั่นใจว่า ระยะต่อมา ก.ศ.ร.กุหลาบ ปัญญาชนชนชั้นกระฎุมพีคนหนึ่ง “ผู้ทะลวงหอหลวง” จนพังทลาย
จาก ก.ศ.ร.กุหลาบ บทบาทในกระบวนท่าเดียวกันนี้ก็มีการขานประสานรับอย่างเต็มเรี่ยวแรงโดย ต.ว.ส. วัณณาโภ เทียนวรรณ
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

