
ปฏิบัติการ 1,326 วัน สถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีน(1) : การทูตหลังฉาก ยุครัฐบาลทหาร

บทความพิเศษ | จุมพฏ สายหยุด
ปฏิบัติการ 1,326 วัน
สถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีน(1)
: การทูตหลังฉาก ยุครัฐบาลทหาร
(หมายเหตุ บทความนี้เป็นส่วนหนึ่ง กิจกรรม “50 ปี ไทย-จีน The Golden Road : From Now to Eternity” จัดโดย เครือมติชน)
5ตุลาคม 2515 ณ ห้องทำงานของคณะผู้แทนถาวรสาธารณรัฐประชาชนจีน สหประชาชาติ นายเฉียว กวนหัว (Qiao Guanhua) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศจีน และทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนจีน ได้ต้อนรับผู้มาเยือนจากประเทศไทย นายพจน์ สารสิน หัวหน้าคณะผู้แทนไทย (ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน) นายอานันท์ ปันยารชุน (ผู้แทนถาวรไทย ณ สหประชาชาติและเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาขณะนั้น)
ในวันนั้น การสนทนาครั้งสำคัญของการปูทางปรับความสัมพันธ์ไทยจีน ได้เริ่มต้นขึ้น อันเป็นช่วงที่ประเทศไทยยังอยู่ภายใต้รัฐบาลทหาร ที่นำโดยจอมพลถนอม กิตติขจร
การปูทางความสัมพันธ์ไทยจีน ได้เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งถึงแม้ว่าไทยจะดำเนินนโยบายต่างประเทศตามหลังสหรัฐ แต่ก็ไม่อยากถลำตัวเข้าลึกเกินไป และเริ่มส่งคณะตัวแทนเดินทางไปติดต่อกับผู้นำฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์บนแผ่นดินใหญ่อย่างลับๆ
อย่างไรก็ตาม การติดต่อดังกล่าว ได้หยุดชะงักลง หลังการทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งผูกพันใกล้ชิดกับสหรัฐมากขึ้น ตามสถานการณ์สงครามเวียดนาม นโยบายเป็นปฏิปักษ์ต่อคอมมิวนิสต์ที่สุดขั้วของรัฐบาลไทย ยังเกิดขึ้นจากการที่พรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนจากพรรคอมมิวนิสต์จีน มีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น จนเปิดฉากการต่อสู้ด้วยอาวุธในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ
เหตุการณ์เหล่านี้ ยิ่งทำให้คนไทยมองจีนคอมมิวนิตส์ด้วยความหวาดกลัวและเกรงกลัว

เดือนกรกฎาคม 2514 ดร.เฮนรี คิสซิงเจอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ได้เดินทางมาเอเชียอาคเนย์และประเทศไทยก่อนเดินทางต่อไปปากีสถาน สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้นัดเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ 2 คนมาร่วมรับประทานอาหารเช้ากับ ดร.คิสซิงเจอร์ คือ นายนิสสัย เวชชาชีวะ และนายเตช บุนนาค (ซึ่งในขณะนั้นทำงานในกองประมวลวิเคราะห์ข่าว กรมสารนิเทศ) และนายดำรง ลัทธพิพัฒน์ กับนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ประเด็นที่พูดคุยกันในระหว่างรับประทานอาหารเช้า คือ สถานการณ์ในภูมิภาคและในเวียดนาม ซึ่งมีการเปิดเผยในภายหลังว่า “ดร.คิสซิงเจอร์ได้ถามฝ่ายไทยว่า กุญแจที่จะนำไปสู่สันติภาพในสงครามเวียดนามคืออะไร”
“จีน” คือ คำตอบจากนายสุลักษณ์ ดร.คิสซิงเจอร์เมื่อได้ยินก็นิ่งเงียบไป
หลังจากนั้น คิสซิงเจอร์เดินทางต่อไปปากีสถานและมีแถลงข่าวว่าเขามีอาการอาหารเป็นพิษ ถูกส่งตัวไปพักฟื้นที่แคว้นแคชเมียร์ แต่ความจริงแล้วคือการโดยสารเครื่องบินกองทัพปากีสถานเลยเข้าไปในจีนเพื่อเจรจากับผู้นำจีน ทั้งเหมา เจ๋อตุง และโจว เอินไหล อย่างลับๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาปรับความสัมพันธ์สู่ปรกติระหว่างสหรัฐอเมริกากับสาธารณรัฐประชาชนจีน

เมื่อข่าวนี้ปรากฏ ประเทศต่างๆ ก็เตรียมปรับท่าทีที่มีต่อสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งขณะนั้นความวุ่นวายภายในประเทศอันเนื่องจากปฏิวัติวัฒนธรรมได้ลดลงไปมากแล้ว ทำให้จีนหันมาให้ความสำคัญกับการรุกทางการทูตระหว่างประเทศมากขึ้น
จุดเปลี่ยนที่สำคัญในหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2514 เมื่อออกเสียงเกี่ยวกับความเป็นตัวแทนของจีนในสหประชาชาติในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 26 ซึ่งมีแนวโน้มว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะประสบความสำเร็จในการครองที่นั่งแทนสาธารณรัฐจีน เนื่องจากสหรัฐหันมาให้การสนับสนุนสาธารณรัฐประชาชนจีน แทนที่จะเป็นสาธารณรัฐจีน ดังที่เคยเป็นมา
ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้ขออนุมัติรัฐบาล ซึ่งมีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ให้คณะผู้แทนไทยออกเสียงข้างมากในสมัชชาสหประชาชาติ แต่รัฐบาลไม่อนุมัติ คณะผู้แทนไทยจึงยังออกเสียงสนับสนุนรัฐบาลสาธารณรัฐจีนในไต้หวันต่อไป แต่เมื่อร่างข้อมตินั้นตกไป และมีการนำเสนอร่างข้อมติให้รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นตัวแทนในสหประชาชาติ ดร.ถนัด ซึ่งยังประชุมสหประชาชาติอยู่ ได้สั่งให้คณะผู้แทนไทยงดเว้นออกเสียงในร่างข้อมติดังกล่าว ซึ่งในอดีต ไทยเราเคยคัดค้านการเป็นตัวแทนของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตลอดมา
การงดเว้นออกเสียงครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ ว่า ไทยมิต้องการแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อไปแล้ว
รายงานชุดนี้ จึงเริ่มนับ 1 ปฏิบัติการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีน ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2514 จนถึง 1 กรกฎคม 2518 รวมระยะเวลา 1,326 วัน
หลังจากที่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้าไปเป็นสมาชิกในสหประชาชาติแล้ว ดร.ถนัดมีคำสั่งให้นายอานันท์ ปันยารชุน ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ เริ่มการติดต่อกับผู้แทนถาวรจีนในด้านสังคมและในเรื่องของสหประชาชาติเพื่อปูทางไปสู่การเจรจาระหว่างกันในเวลาต่อมา
ในการพบปะ 5 ตุลาคม 2515 ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมีข้อสรุปได้ว่า
1. พร้อมที่จะมีการติดต่อกันต่อไป อาทิ อาจให้มีการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนทางการค้า วัฒนธรรม การกีฬาในระยะแรก และการเยือนของบุคคลในวงรัฐบาลในขั้นต่อไป
2. สำหรับปัญหาที่กระทบกระเทือนความสัมพันธ์โดยตรง อันได้แก่
2.1 ปัญหาเวียดนาม ทั้งคู่ต่างต้องการให้สงครามยุติลง แต่ยังหาทางออกที่เหมาะสมกับพันธกรณีที่ทั้งคู่มีต่อคู่สงครามอยู่ และแนวทางการยุติสงครามไม่ได้ คือความช่วยเหลือที่จีนให้กับเวียดนามเหนือ และการยินยอมให้สหรัฐมาตั้งฐานทัพอากาศในประเทศไทยเพื่อการปฏิบัติการในเวียดนาม
2.2 ปัญหากองทหารก๊กมินตั๋ง ทางไทยชี้แจงว่าได้มีการโยกย้ายให้ไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณอื่นที่ห่างไกลต่อการก่อปัญหาให้จีนแล้ว
2.3 ปัญหาผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ทั้งคู่เห็นพ้องกันว่าไม่ควรที่จะมีการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น ถือความเสมอภาคและการอยู่ร่วมกันโดยสันติ อันเป็นการเคารพในปฏิญญาบันดุง (Bundung Declaration 1955) ซึ่งถือว่าเป็นมูลฐานที่จะเป็นมิตรกันได้
1. จีนแสดงท่าทีที่จะยังไม่เป็นมิตรกับสหภาพโซเวียต
2. ทั้งคู่จะพยายามสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่เหมาะสมโดยการหยุดโจมตีซึ่งกันและกัน
ดร.ถนัด คอมันตร์ ซึ่งหน้าฉากนิยมชมชอบสหรัฐ หลังฉากคือการผลักดันการติดต่อกับจีนอย่างแข็งขัน แม้เขาจะเหลือเวลาในตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ อีกไม่นานนัก แต่ผู้มารับช่วงต่อ ก็ยิ่งเดินหน้าเต็มตัว หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 14 ตุลาคม 2516
ที่มา : ผูกมิตรกับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดย อานันท์ ปันยารชุน โครงการบรรยายพิเศษ ศาสตราจารย์ดิเรก ชัยนาม พ.ศ.2530
– การเปิดสัมพันธไมตรีไทย-จีน ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช โดย นายอานันท์ ปันยารชุน วันที่ 20 เมษายน 2554 ณ สถาบันคึกฤทธิ์ กรุงเทพฯ
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

