
เจาะโครงการ ‘น้ำ-คมนาคม’ ของบประมาณ 1.57 แสนล้าน เร่งปั๊ม ศก.-รักษาฐานเสียง รบ.

บทความเศรษฐกิจ
เจาะโครงการ ‘น้ำ-คมนาคม’
ของบประมาณ 1.57 แสนล้าน
เร่งปั๊ม ศก.-รักษาฐานเสียง รบ.
ในห้วงที่เศรษฐกิจไทยยังติดหล่มจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง กำลังซื้อหด ตลอดจนพิษภาษีของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่เล่นงานทั่วโลก จนรัฐบาลของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องเบรกนโยบายแจกเงินหมื่นเฟส 3 และโยกงบฯ มาคลายความเดือดร้อนให้ประชาชนแทน ผ่าน ‘แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ’ 1.57 แสนล้านบาท
แม้จะไม่ใช่ดิจิทัลวอลเล็ตตามนโยบายหาเสียง แต่ก็เป็น ‘แผนพลิกเกม’ ที่น่าสนใจ เพราะมุ่งพุ่งตรงไปยังการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ คมนาคม การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจชุมชน
โดยเฉพาะเป้าหมายสำคัญคือ เข้ามาตอบโจทย์ประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัด
และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
โครงการแรกที่ชูเป็นหัวใจหลักของแผนนี้ คือ ‘การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน’ โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้คัดสรรชงรัฐบาลกว่า 22,000 โครงการทั่วประเทศ พร้อมเบิกจ่ายภายในปีเดียว
โครงการเหล่านี้ถูกแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
1. พัฒนาน้ำอุปโภคบริโภค ช่วย 2.41 ล้านครัวเรือน
2. ปรับปรุงแหล่งน้ำ-ระบบกระจายน้ำ
3. พัฒนาเกษตรน้ำฝนและพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก
4. หน่วงน้ำเมือง ป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง
5. ฟื้นฟูระบบนิเวศ สร้างฝาย ปลูกป่า สร้างแหล่งน้ำใหม่
จากข้อมูลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ที่มี ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน คาดการณ์ว่าหากดำเนินการครบทั้ง 5 แผน จะมีประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 3.37 ล้านครัวเรือน ลดการชะล้างพังทลายของดินได้ 0.18 ล้านไร่ เกิดการจ้างงานทั่วประเทศประมาณ 250,000 คนต่อเดือน และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 124,648.42 ล้านบาท
ด้าน สทนช. ระบุมีโครงการในใจที่อยากให้ไฟเขียวเช่นกัน คือ ‘โครงการพัฒนาปรับปรุงน้ำประปาในพื้นที่ชนบท’ โดยให้มุมมองว่า เนื่องจากมีอีกหลายชุมชนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดและมีคุณภาพ หากได้รับการจัดสรรงบประมาณ จะช่วยลดปัญหาสุขภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว
อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างยั่งยืน
อีกหนึ่งโครงการเส้นเลือดใหญ่คือ “คมนาคม” ที่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งกรมทางหลวง-ทางหลวงชนบท เปิดลิ้นชัก ตรวจโครงการที่พร้อมประมูลได้ทันที เป้าหมายคือ ‘ต้องไม่ใช่โครงการใหญ่’ โดยเฉลี่ย 5-20 ล้านบาทต่อโครงการ เน้นขยายถนน แก้จุดตัดรถไฟ เพิ่มความปลอดภัย และเชื่อมต่อการท่องเที่ยวกับแหล่งผลิต
ต่อมา หลังจากที่ทุกหน่วยงานได้ไปรวบรวบข้อมูล ทางกระทรวงคมนาคมได้สรุปงบประมาณที่จะขอรับการจัดสรรรวม 6 หน่วยงาน วงเงินรวม 56,666 ล้านบาท ในจำนวนนี้ กรมทางหลวงขอมากสุด 37,636 ล้านบาท กว่า 4,000 โครงการ รองลงมาคือกรมทางหลวงชนบท 3,700 โครงการ วงเงิน 17,051 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่า งบประมาณคมนาคมค่อนข้างสูงและอาจต้องถูกตัดออก เนื่องจากบางโครงการอาจไม่ตอบโจทย์การกระตุ้นเศรษฐกิจนัก ส่วนนี้ สุริยะชี้แจงตัวเลข 56,666 ล้านบาทเป็นตัวเลขที่นิ่งแล้ว เพราะถูกปรับลดมาจากเดิมที่แตะ 80,000 ล้านบาท และโครงการส่วนใหญ่เป็น “งานเล็ก-งบฯ ไม่เกิน 20 ล้านบาท” และดำเนินการได้ทันทีในปีงบประมาณนี้
เพื่อให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ชุมชนเร็วที่สุด เพิ่มการจ้างงาน ใช้วัสดุก่อสร้างในประเทศ และพร้อมโชว์ผลงานภายในหนึ่งปี
อย่างไรก็ตาม กว่าจะถึงวันที่เคาะโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้าน อย่างเป็นทางการก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากงบฯ จำกัด และต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบมากที่สุด ทำให้มีการเลื่อนประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเศรษฐกิจไปหลายรอบ
จับเสียงสะท้อนจากนักวิชาการ สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ให้มุมมองว่า การเลื่อนประชุมบ่อยเป็นเพราะรัฐบาลต้องการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและรอบคอบ เนื่องจากหลายโครงการที่เสนอมายังไม่ตอบโจทย์ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันเท่าที่ควร
สมชายแนะว่าโครงการควรมุ่งเน้นช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ และประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ต้องการการพัฒนาคุณภาพชีวิตควบคู่กับการสร้างงานและกระจายรายได้อย่างเป็นรูปธรรม
“ส่วนตัวมองว่าหลายโครงการยังคงเป็นรูปแบบเดิมๆ เช่น การแก้ไขปัญหาจราจร ลงทุนปรับปรุงสนามบิน ซึ่งไม่สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจในปัจจุบัน และบางโครงการมีขนาดใหญ่เกินไป มีแววต้องลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะบางโครงการจากฝ่ายคมนาคมที่อาจไม่ตอบสนองความจำเป็นเร่งด่วน” สมชายระบุ
สมชายให้ความเห็นด้วยว่า ถ้าแค่แก้จราจร สร้างถนน หรือขุดลอกลำคลอง จะฟื้นเศรษฐกิจฐานรากได้ ตรงนี้อาจจะยังไม่ถือว่าตอบโจทย์มากนัก ดังนั้น รัฐควรหันมาเน้น “SME-เกษตร-ท่องเที่ยว” ที่เข้าถึงกลุ่มเปราะบางได้ตรงจุดมากกว่า และควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างการจ้างงานที่มีคุณค่า เช่น การอบรมแรงงาน การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ซึ่งหากโครงการเหล่านี้ มีความพร้อมก็ควรรีบผลักดันโดยเร็ว
ขณะที่ภาคเอกชนอย่าง อภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยว่า ไม่แปลกใจที่การประชุมต้องเลื่อนและบางโครงการต้องถูกตีกลับ เพราะการพิจารณาต้องรอบคอบและคุ้มค่าที่สุดในวงเงินที่จำกัด
อภิชิตแนะว่า รัฐบาลควรใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชน เช่น การจ้างคนท้องถิ่นร่วมพัฒนาพื้นที่ ส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชน และเน้นแก้ปัญหาพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคตและลดภาระการเยียวยาจากรัฐ
พร้อมมองว่าโครงการด้านคมนาคมบางส่วน เช่น การปรับปรุงถนน ที่ใช้เครื่องจักรเป็นหลักและมีการซ่อมบำรุงอยู่แล้ว อาจไม่ตอบโจทย์การกระตุ้นเศรษฐกิจเท่ากับการลงทุนพัฒนาศักยภาพแรงงานและดูแลบุคลากรที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการเหล่านี้ ซึ่งมองว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริงมากกว่า
ความยากของการบริหารโครงการงบฯ 1.57 แสนล้านบาท คือ การคัดสรรสิ่งที่ตรงจุดที่สุดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ที่ต้องเร็วและเห็นผลจริงๆ เพื่อคะแนนนิยมของรัฐบาล!!