
ชายแดนใต้ ‘เทศกาลอีดิ้ลอัฎฮา’ ระเบิด เชือดสัตว์พลีทาน และฟุตบอล

บทความพิเศษ | อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
ชายแดนใต้
‘เทศกาลอีดิ้ลอัฎฮา’
ระเบิด เชือดสัตว์พลีทาน และฟุตบอล
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ทุกท่าน
ช่วงเทศกาลอีดิ้ลอัฎฮาท่ามกลางพี่น้องร่วมฉลองวันสำคัญทางศาสนาอิสลาม ก็ไม่วายมีเสียงระเบิด 2 จุดกลางเมืองปัตตานี
เมื่อเวลา 20.00 น.ของวันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2568 เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มจำนวน ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 2 ลูก
โดยจุดที่ 1 วางระเบิดในถังขยะ หน้าห้างทองอินเตอร์ บริเวณตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมือง อ.เมือง จ.ปัตตานี เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหายจำนวน 2 คัน
และจุดที่ 2 วางระเบิดในถังขยะ บริเวณในซอยข้างโรงแรมสันติสุข หลังตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมือง อ.เมือง จ.ปัตตานี เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต
ในขณะที่เช้าวันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2568 ก็พบระเบิดอีก 1 ลูก บนถนนมะกรูด อำเภอเมืองปัตตานี ก่อนเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้จะใช้เชือกดึงออกจากจุดที่วัตถุต้องสงสัยถูกซุกซ่อนออกมาและยิงทำลายทิ้ง
จากผลของระเบิดดังกล่าวส่งผลเสียหายอย่างยิ่งต่อบรรยากาศการต้อนรับเทศกาลวันตรุษอีดิ้ลอัฎฮาซึ่งมีขึ้น 4 วัน (7-10 มิถุนายน 2568) โดยเฉพาะพี่น้องเดินทางไปทำบุญเชือดสัตว์พลีทานที่เรียกว่า กุรบาน ในทุกชุมชนของชายแดนใต้ที่ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียน หลายร้อยล้านบาท หรือบางท่านบอกว่า กว่า 1,000 ล้านบาท
นายฆอซาลี อาแว รองประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ และนักวิจัย (ประจำศูนย์สันติวิธีชายแดนใต้ มหาวิทยาลัยมหิดล จ.ปัตตานี) คาดเงินหมุนเวียนจากการทำกุรบาน กว่า 1,000 ล้านบาท โดยกล่าวว่า
“จากการประมาณการ การประกอบพิธีกุรบาน (เชือดสัตว์ในวันอีด) ซึ่งเป็นเฉลิมฉลองของพี่น้องมุสลิมทั่วโลก ทั้งนี้ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี นราธิวาส และยะลา) มีจำนวน 1,609 หมู่บ้าน หากคำนวณเฉพาะหมู่บ้านมุสลิม 80% จะมีจำนวน 1,287 หมู่บ้าน จากการสังเกตและประมาณการ มีการทำกุรบานวัว/ควาย เฉลี่ยหมู่บ้านละ 50 ตัว และคิดเฉลี่ยราคาประมาณ 25,000 บาทต่อตัว ดังนั้น ลองเคาะตัวเลขอยู่ที่ 1,608,750,000 บาท
เรียกง่ายๆ ทำกุรบานมีเงินหมุนเวียนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวนหนึ่งพันหกร้อยล้านบาท
ไม่เพียงคนในชุมชนเท่านั้นที่ยอมสละเงิน แต่ยังมีผู้มีจิตศรัทธาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากดียาเนท (Diyanet) ประเทศตุรกีบริจาคเงินซื้อวัวสู่ภาคใต้ ไม่ต่ำกว่า 250 ตัว จากหลายล้านหัวใจทั่วโลก
ซึ่งนายอับดุลการีม อัสมาแอ เปิดเผยว่า โครงการกุรบาน จากดียาเนท ประเทศตุรกี ปีนี้ได้เดินทางข้ามพรมแดนสู่หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่การกุรบานยังคงเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการเสียสละ แบ่งปันและความศรัทธาอันลึกซึ้งของพี่น้องมุสลิม กล่าวคือ ทั้งหมด 100 ตัว สำหรับ 3 จชต. 75 ตัว อีก 25 ตัวกระจายภาคใต้ตอนบน ในอำเภอจะนะและเทพา จังหวัดสงขลา
สำหรับสิ่งที่น่าประทับใจในปีนี้คือ บางครอบครัวได้รับเนื้อกุรบานมากถึง 5 กิโลกรัม ซึ่งเป็นเนื้อกุรบานเฉพาะในพื้นที่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของการเสียสละ
ในหลายพื้นที่ การเชือดกุรบานเกิดขึ้นทุกกำปง ทุกหมู่บ้าน ทุกมัสยิด
จนถึงขั้นที่บางชุมชนเริ่มที่จะหาครอบครัวที่จะมอบเนื้อกุรบานไม่ค่อยได้ต้องกระจายออกนอกชุมชน
กุรบาน…ไม่ใช่แค่เนื้อ
แต่มันคือ “หัวใจ” ของการเสียสละ แบ่งปัน ที่ไม่มีพรมแดนใดกั้นได้
ผู้เขียนในนามพลเมืองไทยมุสลิมขอขอบคุณองค์กรดียาเนท ประเทศตุรกีที่เป็นสะพานเชื่อมความดีจากคนหนึ่ง สู่คนนับล้าน
นายสุกรี มาดากะกุล เปิดเผยว่า กุรบานมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่นอกจากการซื้อขายเนื้อกุรบาน แล้วยังรวมศูนย์สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างการแจกจ่ายได้ครบถ้วน เสียดายที่วัวไม่ได้มาจากพื้นที่เอง 100% แต่วงจรเศรษฐกิจเกษตรกร ก็ได้กระจายตัวออกไป ซึ่งถ้าเป็นวัวซื้อ-ขายนำมาจากที่อื่น
ส่วนต่าง จะแชร์กันออกไปอีก ถ้าลองสังเกตดีๆ ย้อนไปเดือนกว่าๆ ให้หลัง จะเห็นรถบรรทุกวัวเข้ามาจำนวนมาก ห่วงโซ่เศรษฐกิจคิดแบบบ้านๆ คนจ้างเลี้ยง คนขาย พ่อค้านำเข้า คนขับรถส่งวัว คนเชือด คนทำวัว คนทำแปรรูป คนรับเนื้อ ทำเลี้ยงแกงใหญ่ ตลาด พ่อค้าเครื่องเทศ ร้านขายเครื่องปรุง น้ำสเต๊ก ร้านน้ำแข็ง ร้านไอติม แม่ค้าผัก แม่ค้าข้าว ต่างได้รับผลดีทั้งสิ้น
จะเห็นว่า วงจรค้าวัวตลาดนี้สร้างรายได้กระจายจำนวนมาก
เรื่องดีๆ มิใช่มีเฉพาะเนื้อกุรบาน แต่ยังมีฟุตบอลไทยลีก 3 ระหว่างปัตตานี เอฟซี กับ ราษีไศลจากศรีสะเกษ แดนอีสานที่ทำการแข่งขันตรงกับวันอีดิ้ลอัฎฮาพอดิบพอดี
ทำให้คนอีสานเข้าใจวิถีวัฒนธรรมคนปัตตานีผ่านฟุตบอลเพราะที่ปรึกษาสโมสรราษีไศล ยูไนเต็ด ส.ส.นุชนาถ จารุวงษ์เสถียร (ครูนุช) จากพรรคเพื่อไทยได้ให้สัมภาษณ์ระหว่างพักการแข่งขัน ว่า “เพราะฟุตบอลทำให้เรารู้จักกัน จังหวัดปัตตานีผู้คนน่ารัก มีไมตรีจิต ต้องขอโทษแฟนฟุตบอลและชาวปัตตานี ที่กองเชียร์ของพวกเรา (บางคน) นำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าสนาม (ซึ่งขัดกับวิถีวัฒนธรรมคนมุสลิมที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์)”
หลังกลับไปศรีสะเกษแล้วยังสัมภาษณ์ผ่านสื่ออีกว่า “ก่อนที่เราจะเดินทางมา เราพะวงหลายๆ อย่าง เท่าที่เราได้ยินมา มันเป็นลบหมด แต่เชื่อมั้ยเมื่อคืนนี้นอนคิดถึงภาพที่กองเชียร์ของภาคใต้ 12,000 คนล้นสนาม ทำให้ประทับใจ และสิ่งที่คิดไว้ (ในทางที่ไม่ดี) จากที่เราเคยเสพข่าว ปรากฏว่ามันไม่ใช่เลย พี่น้องปัตตานีน่ารัก”
ครูนุชเดินรอบสนาม ทุกคนยกมือโบกให้ เห็นแล้วประทับใจ
“ไม่ใช่อย่างที่พวกเราคิด อยากเชิญชวนพี่น้องคนไทยทุกภาค มาสัมผัสกับภาคใต้ โดยเฉพาะปัตตานี ครูนุชเห็นแล้วดีใจ แฟนบอลมีสปิริตในการเชียร์บอล บรรยากาศดีมากจนไม่รู้จะบรรยายยังไง ถ้าอยากเห็นภาพจริงๆ ของใต้โดยเฉพาะปัตตานี ให้มาด้วยตัวเองแล้วคุณจะประทับใจ”
ที่เล่ามาทั้งหมด ก็อยากเสนอแนะเล็กๆ น้อยๆ คือ
เรื่องพื้นที่ปลอดภัยสาธารณะ
ซึ่ง น.ส.ลม้าย มานะกาล นายกสมาคมประชาสังคมชายแดนใต้ กล่าวว่า บทบาทของตลาดโต้รุ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย เพราะว่าเป็นพื้นที่ชีวิตของประชาชนหลากหลายชาติพันธุ์ในปัตตานี ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธ ชาวมุสลิม หรือชาวไทยเชื้อสายจีน โดยเฉพาะกลุ่มคนจนที่พึ่งพาการค้าขายและบริโภคอาหารในราคาประหยัดจากตลาดแห่งนี้ทุกค่ำคืน คนจนพึ่งตลาดนี้ ทุกค่ำคืน คนขายขายของยากอยู่แล้ว ไปตัดทางทำมาหากินของพี่น้องทำไม…กี่ครั้งมาแล้ว ที่มีระเบิดที่นี่ จึงควรร่วมแสดงจุดยืนว่า พื้นที่สาธารณะต้องปลอดภัยสำหรับทุกคน เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของความมั่นคง หากแต่เป็นคำถามถึงศีลธรรม ความรับผิดชอบ และการเคารพสิทธิของผู้คนในพื้นที่สาธารณะที่ควรเป็นของทุกคนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ควรใช้กีฬาฟุตบอลร่วมสร้างสัมพันธ์ภาพผู้คนที่แตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา ประเพณีและวัฒนธรรมอีกทั้งยังได้สร้างอาชีพ
และควรสนับเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะเรื่องปศุสัตว์ “วัว แพะ” อย่างครบวงจร มิใช่ทำเหมือนอดีตที่หวังแค่เงินทอน ซึ่งเรื่องนี้มีเรื่องอื้อฉาวมากๆ เช่น “โครงการโคบาลชายแดนใต้” ซึ่งพบว่าแม่พันธุ์วัวไม่ตรงกับสัญญาและคุณลักษณะเฉพาะไม่ตรงตามที่กำหนด จึงทำให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการโคบาลชายแดนใต้ ในโครงการนำร่องเดือดร้อนหนัก เนื่องจากจำเป็นต้องขายวัวสภาพที่ไม่สมบูรณ์ จึงได้ราคาที่ต่ำกว่าเกณฑ์หลายเท่า หากปล่อยให้ตายจะขาดทุน ส่วนวัวที่เหลืออยู่มีค่าใช้จ่ายทั้งอาหารและยารักษาโรค เพราะแม่พันธุ์วัวที่ได้รับการส่งมอบ 50 ตัวต่อกลุ่ม น้ำหนักไม่ได้ตามเกณฑ์ที่สัญญาไว้ และบางตัวติดโรค
ซึ่งถ้าโครงการนี้ตรงปกจริงๆ ก็จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจช่วงอีดิ้ลอัฎฮา โดยไม่ต้องซื้อวัวจากภาคเหนือและนำเข้าจากพม่า