

ชายแดน (1)
โรงเรียน “อ้างว้าง” ร้างการเรียน
ภาระเปลี่ยนสถานศึกษา
ไร้ “เด็กน้อย” เล่าเรียนวิชา
ไร้การศึกษาสืบรุ่นสู่รุ่น…
โรงเรียนร้าง (ไร้เด็กนักเรียน)
เสาธงสะเทือน หัก…โค่น…ล้ม
อาคารผุพัง พายุถั่งโถม
ลมแดงถล่มหลังคาถลาย
โรงเรียนไร้ “เหล่าเด็ก” เล่าเรียน
ไร้การขีดเขียน…ไร้การสอน
โรงเรียนประถม “หมด” วรรคตอน
สะท้อนวิถีถิ่นฐาน “บ้านเฮา”…
(ขาย – ค้า ซบเซา…ข้าวยากหมากแพง)
สงกรานต์ บ้านป่าอักษร
ไม่ทราบว่า “สงกรานต์ บ้านป่าอักษร”
มีภาพอะไรในใจ
จึงสะท้อน “ภาพ” โรงเรียนออกมาเช่นนี้
แต่ถ้าถามว่า แล้ว บ.ก.เห็นภาพ “อะไร” หลังจากอ่าน “อีเมล” นี้
ผุดขึ้นมา “ภาพแรก” เลย คือ
ภาพเด็กนักเรียนตามชายแดนไทย-กัมพูชา
วิ่งหัวซุกหัวซุนเข้าหลุมหลบภัย
ภาพต่อมาคือโรงเรียนที่ร้าง
ไร้คนเรียน-คนสอน
จากเหตุ “สงคราม” ชายแดน
ภาพเหล่านี้ ไม่อยากเห็น
ไม่อยากให้เกิดขึ้นจริง-จริง
แต่กระแสชาตินิยม กระแสคลั่งชาติ ที่ปลุกขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย
เราจะหลีกเลี่ยง “ภาพ” เหล่านี้ได้ไหมหนอ

ชายแดน (2)
ชายแดนไทย-เมียนมา ที่ทอดยาวกว่า 2,400 กิโลเมตร
ครอบคลุมพื้นที่ทางฝั่งตะวันตกของไทย ตั้งแต่เชียงรายไปจนถึงระนอง
ไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นแบ่งระหว่างรัฐ
แต่คือเส้นเขตแดนที่เชื่อมโยงผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ วัฒนธรรม เครือข่ายเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาอย่างยาวนาน
แต่ภายหลังสถานการณ์การเมืองในเมียนมาตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา
พื้นที่ที่เคยเต็มไปด้วยโอกาสนี้ กลับกลายเป็นความท้าทายที่ส่งผลกระทบบางประเด็นมาถึงประเทศไทย
ดังนั้น การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนจึงไม่ใช่เพียงแค่ภารกิจของกองทัพในเรื่องการปกป้องพรมแดนเท่านั้น
แต่เป็นโจทย์เชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องผสมผสานความเข้าใจในพื้นที่ สังคม วัฒนธรรม ผู้คน เศรษฐกิจ
ควบคู่ไปกับการประสานความร่วมมือระดับภูมิภาค
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ได้มีการนำนักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) รุ่นที่ 2 ไปศึกษาดูงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่จริงอย่างใกล้ชิดเพื่อทำความเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อย่างรอบด้าน
พร้อมเปิดเวทีให้นักศึกษาได้ร่วมกันถอดบทเรียน แลกเปลี่ยนมุมมอง พร้อมนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาชายแดนไทย–เมียนมา
ที่ไม่ใช่แค่เรื่องความมั่นคงทางกายภาพ แต่ครอบคลุมไปถึงประเด็นด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การทหาร
และการพัฒนาที่มี “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง”
ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ ที่ปรึกษากรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร และนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 ชี้ให้เห็นว่ารากเหง้าที่แท้จริงของปัญหาชายแดนไทย-เมียนมาไม่ใช่ปัญหาเชิงเขตแดน
แต่เป็นผลมาจากความไม่สงบทางการเมืองภายในเมียนมาที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนานตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 2491
และยิ่งรุนแรงมากขึ้นภายหลังรัฐประหารเมื่อปี 2564
ทำให้เกิดการสู้รับระหว่างรัฐบาลและชนกลุ่มน้อย
ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยในหลายมิติ
ทั้งในมิติทางสังคม ทำให้ไทยกลายเป็นจุดรองรับแรงงานและผู้อพยพลี้ภัยจำนวนมาก
โดยมีการประเมินว่าปัจจุบันมีแรงงานเมียนมาอาศัยอยู่ในไทยไม่น้อยกว่า 6-7 ล้านคน
ในด้านเศรษฐกิจ การค้าชายแดนโดยเฉพาะในพื้นที่แม่สอด-เมียวดี ที่เคยเป็นหนึ่งในช่องทางส่งออกสินค้าที่สำคัญของประเทศได้รับผลกระทบเมื่อเส้นทาง AH1 ถูกตัดขาด จากสถานการณ์ความไม่สงบ
และในด้านความมั่นคง เช่น เหตุการณ์เครื่องบินรบเมียนมาที่บินล้ำเข้ามาในเขตไทยบ่อยครั้ง
รวมถึงภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเซ็นเตอร์ และปัญหายาเสพติดข้ามพรมแดน ที่ชนกลุ่มน้อยใช้เป็นช่องทางในการหารายได้ทั้งเพื่อความอยู่รอดและสู้รบกับรัฐบาล
ผศ.ดร.ลลิตาย้ำว่า แม้ความไม่สงบทางการเมืองในเมียนมาจะส่งผลกระทบต่อไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาผู้ลี้ภัย
เราควรมองผู้ลี้ภัยด้วยความเข้าใจ เพราะไม่มีใครอยากหนีสงครามและไม่มีใครอยากเป็นผู้พลัดถิ่น
การแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุดคือต้อง “หยุดสงคราม”
ซึ่งประเทศไทยอาจช่วยได้โดยใช้จุดแข็งของไทยในฐานะประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับทั้งฝั่งรัฐบาลและฝั่งชนกลุ่มน้อยในการเป็นคนกลางเจรจาอย่างสันติ
และผลักดันให้เกิดพื้นที่ปลอดภัย เพื่อลดจำนวนผู้ลี้ภัย และสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนร่วมกัน
ด้าน พ.อ.คมกฤช คชรักษา ฝ่ายเสนาธิการ กรมยุทธการทหารทัพบก และนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืนว่า ควรคำนึงถึงประชาชนทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่แค่ฝั่งไทย ซึ่งการสร้างความมั่นคงชายแดนในระยะยาว
ต้องพัฒนาอย่างครอบคลุมในทุกมิติ
ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
ด้านการศึกษา เพื่อให้คนในพื้นที่มีโอกาสพัฒนาตนเองและกลับมาช่วยพัฒนาชุมชน
ด้านสาธารณสุข เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
และด้านเศรษฐกิจ การค้าชายแดน ที่ช่วยสร้างรายได้ให้ประชาชนทั้งสองฝั่งมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีไปพร้อมกัน
เพราะหากประชาชนฝั่งเมียนมามีทางเลือกในชีวิตที่ดี ก็ไม่จำเป็นต้องลักลอบเข้าไทยหรือไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย
แต่ขณะเดียวกัน ถ้าพวกเขามีคุณภาพชีวิตไม่ดี ไม่มีทางเลือก อยู่ในประเทศไม่ได้ เราก็จะไม่ปลอดภัยเช่นกัน
ในการพัฒนานี้ต้องยึดหลักการ “ช่วยเขาเพื่อให้เขาช่วยตัวเองได้”
JC&CO NEWS
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ JC&CO
ส่งอีเมลนี้มาให้อ่านและให้เผยแพร่
ไม่ขัดข้อง
เพราะเป็นความพยายามที่จะเสนอแนะ
ให้เราอยู่อย่างสันติสุขกับเพื่อนบ้าน
ซึ่งเมียนมา ก็ร้อน
แต่ที่ร้อนกว่า คือ กัมพูชา
ซึ่งอยากเห็นข้อเสนอแนะการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
มิใช่จะ “รบ” กันท่าเดียว
มีทางเป็นไปได้ไหม
คำตอบคงไม่ได้อยู่ในสายลม (ร้อน)