

บทความพิเศษ
ชีวิต พลิกผัน
ของ ต.ว.ส. วัณณาโภ
คน บางขุนเทียน
แม้จะมี สงบ สุริยินทร์ และ นายตำรา ณ เมืองใต้ และรวมถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์ เคยนำร่องต่อบทบาทของเทียนวรรณ มาอย่างต่อเนื่อง เสมือนกับเป็นการบุกเบิกท่ามกลางการตั้งคำถามด้วยความสงสัย
ก็ต้องยอมรับว่านอกจาก สงบ สุริยินทร์ แล้ว ชัยอนันต์ สมุทวณิช เป็นอีกคนหนึ่งที่ให้ความสนใจต่อเทียนวรรณเป็นอย่างสูง
โดยเฉพาะในห้วงก่อนสถานการณ์เดือนตุลาคม 2516
เห็นได้จากการเรียบเรียงประวัติอย่างค่อนข้างเป็นระบบ เมื่อวันพุธที่หนึ่ง แรมเจ็ดค่ำ เดือนแปด (กรกฎาคม) ปีขาล จัตวาศก จุลศักราชพันสองร้อยสี่ รัตนโกสินทรศกหกสิบ (พ.ศ.2385)
ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ตำบลบ้านสวนหลวง บางขุนเทียน
เด็กชายเทียน ซึ่งต่อมาได้เติบโตขึ้นเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ถือกำเนิดขึ้น
เมื่อติดตามอ่านจากหนังสือ “ชีวิตและงานของเทียนวรรณ และ ก.ศ.ร.กุหลาบ” อัน ชัยอนันต์ สมุทวณิช เรียบเรียงและตีพิมพ์เมื่อปี 2522 อันเป็นความต่อเนื่องจากหนังสือสรรนิพนธ์ของเทียนวรรณเมื่อปี 2517
ก็ยิ่งฉายภาพของเทียนวรรณประสาน ก.ศ.ร.กุหลาบได้อย่างแจ่มชัด
รากฐาน ครอบครัว
เชื้อสาย เทียนวรรณ
ตามประวัติคำกลอนซึ่งเป็นอัตชีวประวัติของเทียนวรรณเขาได้ลำดับวงศ์สกุลไว้ว่าตระกูลชื่อ ขุนเทียนวิเชียรหงส์ เป็นขุนนางครั้งสมัยพระนารายณ์มีหน้าที่ลงมารักษาป่ามังคุด ณ บริเวณซึ่งต่อมาได้เรียกชื่อตามผู้รักษาป่ามังคุดนั้นว่า “บางขุนเทียน”
ขุนเทียนวิเชียรหงส์เป็นทวดของเทียนวรรณ ยายเทียนวรรณสืบเชื้อสายจากเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ ขุนนางผู้ใหญ่ในสมัยพระบัณฑูรน้อย
เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกได้อพยพครอบครัวไพร่พลมาอยู่ที่นนทบุรี
เทียนวรรณไม่ได้กล่าวถึงญาติข้างพ่อเลยอาจเป็นเพราะพ่อตายตั้งแต่เขายังเล็กและแม่แต่งงานใหม่ ญาติข้างแม่ที่เทียนวรรณอ้างถึงอีกผู้หนึ่ง คือ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสสเทว) ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุง
พี่น้องท้องเดียวกับมารดาของเทียนวรรณมี 5 คน เป็นฝาแฝดหญิงชายคู่หนึ่งชื่อแม่ทรัพย์กับนายรอด มารดาของเทียนวรรณเป็นคนที่ 2 ชื่อโอลิต ผู้สืบตระกูลของเทียนวรรณเชื่อว่ามารดามีเชื้อสายโปรตุเกส
คำว่าโอลิต ภาษาโปรตุเกสแปลว่า ส้มโอ
เทียนวรรณเล่าว่าบิดาชื่อเรืองสิงห์ ในสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องโทษฆ่าคนตายถึง 3 ครั้ง
นายเรืองสิงห์มีเชื้อสายมอญ เคยไปรบศึกเชียงตุงเมื่อกลับมาก็ตาย
เทียนวรรณมีพี่น้องท้องเดียวกัน 9 คน เทียนวรรณเป็นบุตรคนที่ 7 เมื่อเกิดหน้าตารูปร่างเหมือนกับทวดมาก
จึงได้ชื่อว่า “เทียน” ตามนามของ “ทวด”
ร่ำเรียนธรรม คำมคธ
สำนัก วัดบวรนิเวศ
นอกจากประวัติคำกลอนแล้วเทียนวรรณได้เล่าชีวิตในวัยเยาว์ของเขาในบทความเรื่อง “ว่าด้วยความฝันละเมอ แต่มิใช่นอนหลับ” ว่า
เมื่ออายุได้ 5 ขวบมารดาส่งมาอยู่กับลุงเขยชื่อนายขุนทองและคุณป้าปุยที่คลองหลอด นายขุนทองช่วยสอนวิชามวยปล้ำและขีดเขียนอักษรไทยขึ้นต้นให้
จนอายุได้ 8 ปี พระองค์เจ้าประไภยภักธิ์นำไปฝากไว้ที่วัดพระเชตุพนอยู่กับพระมหาพุ่ม คณะพระราชมุนี (เอี่ยม) ซึ่งเป็นสำนักเดียวกับที่ ก.ศ.ร.กุหลาบ ศึกษาอยู่ด้วยได้เรียนหนังสือไทย-ขอมจนสามารถอ่านได้
แม้มหาพุ่มสึกเมื่อเทียนวรรณอายุได้ 10 ขวบ แต่เทียนวรรณก็ยังอยู่กับมหาพุ่มแต่ไม่ได้เรียนหนังสือแล้วแต่ติดสอยห้อยตามอาจารย์เข้าไปในวังหลวงเสมอ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.2393 ขณะนั้นเทียนวรรณอายุได้ 9 ย่าง 10 ขวบพอดี มหาพุ่มสึกเทียนวรรณจึงออกจากวัดไม่ได้ร่ำเรียนอีกต่อไป
จนรัชกาลที่สี่มีกระทรวง
ครูท่านล่วงสึกหาฉันลาจร
จึงมิได้เรียนธรรมคำมคธ
ซ้ำลืมหมดสนธินามเช่นยามก่อน
ท่องไป กับ เรือกำปั่น
15 เดือน ในต่างแดน
เทียนวรรณใช้ชีวิตตามแบบเด็กหนุ่มสามัญชนทำมาหากิน เที่ยวเตร่ตีรันฟันแทง เป็นชีวิตที่ไม่มีจุดหมาย อยู่ไปวันๆ หนึ่ง ต่อเมื่อมารดาแต่งงานใหม่ได้พ่อเลี้ยงเป็นคนดีคอยอบรมสั่งสอนอยู่เสมอ
เป็นโชคดีของเทียนวรรณดังที่ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ตั้งข้อสังเกต
ลุงที่บวชเป็นพระอยู่พ้นราชทัณฑ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระสาสนโสภณต่อมาเป็น สมเด็จพระสังฆราช (สา)
เทียนวรรณมาอยู่กับลุงตั้งแต่ยังเป็นพระสาสนโสภณแล้วบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบวรนิเวศ แต่บรรพชาอยู่ได้เพียง 13 เดือนก็ลาสิกขากลับไปอยู่บ้าน เหตุเพราะได้ทราบเรื่องราวในชีวิตของตนจากพระสาสนโสภณ
ชีวิตนับแต่อายุ 17 ปีเป็นต้นไปน่าศึกษาอย่างเป็นพิเศษ
ชัยอนันต์ สมุทวณิช ระบุว่า ครั้งนี้เทียนวรรณเตร็ดเตร่ไปทางเหนือ รุ่งขึ้นอีกปีเมื่ออายุได้ 19 ไปกับเรือกำปั่นนานถึง 15 เดือนจึงกลับ คราวนี้อายุได้ 20 ปีอุปสมบทเป็นพระภิกษุมี กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสาสนโสภณ (สา) พระจันทโคจะระคุณเป็นคู่สวด อุปสมบทที่วัดบวรนิเวศ
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างวัดประดิษฐาวราวามจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระสาสนโสภณมารับผิดชอบพระเทียนก็ตามมาด้วย
เวลานั้นพระเทียนอุปสมบทมาได้แล้ว 4 พรรษา
เรียนการโลก การธรรม
ภูมิศาสตร์ และดวงดาว
จากนี้จึงเห็นอย่างเด่นชัดว่า เทียนวรรณ หรือ ต.ว.ส. วัณณาโภ เกิดในตระกูลขุนนางในวัยเด็กและวัยหนุ่มได้รับการศึกษาระหว่างบวชอยู่วัดบวรนิเวศจากลุงซึ่งเป็นพระสาสนโสภณ (ต่อมาเป็นสมเด็จพระสังฆราช)
สึกหาลาพรตเมื่ออายุ 25 ปี พร้อมกับความรู้ภาษาบาลี สันสกฤตและอังกฤษ และได้เดินทางท่องเที่ยวไปกับเรือในเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิกเป็นเวลาหลายปี
กระทั่ง เทียนวรรณ เขียนในอัตชีวประวัติของตนว่า
“ได้เรียนรู้การโลกย์และการธรรม เข้าใจในพงศาวดารโลกและความปกครองของนานาประเทศและทิศทางตามภูมิศาสตร์ ตำราดวงดาวในท้องฟ้าอากาศแลสรรพศาสตร์สิ่งละเล็กละน้อย
แต่ศาสนากับกฎหมายค่อนข้างจะเอาใจใส่ยิ่งกว่าวิชาอื่นๆ”
เมื่อกลับจากต่างประเทศก็ดำเนินกิจการค้าชาย ครั้งแรกค้าของป่าอยู่ที่จันทบุรี ต่อมาเข้ามาตั้งร้านอยู่ในกรุงเทพมหานครและรับเป็นตัวแทนสั่งของให้กับพ่อค้าบางคน
ขณะเดียวกัน ก็เป็นที่ปรึกษาหนังสือพิมพ์ “สยามออบเซอร์เวอร์” อยู่ระยะหนึ่ง ระหว่างนี้นอกจากค้าขายและเขียนหนังสือ (เก็บไว้) เขาก็คง
“เที่ยวพูดในวัด ในวัง ในบ้านเจ้านาย” เกี่ยวกับความคิดเห็นต่อบ้านเมือง
“แลมีคนไปมาหาสู่ที่อยู่ไม่ขาด ก็ได้สนทนาบ้างเล็กน้อย ได้รู้เรื่องเท็จจริงของราษฎรที่มีคะดีวิวาทฟ้องหาในโรงในศาลมากยิ่งกว่าการอื่นๆ”
จึงได้คิดตั้งออฟฟิศหมอความให้ชื่อว่า “อรรศนานุกูล”
โดย หลวงดำรงธรรมสาร (มี) และขุนหลวงพระไกรศี (เปล่ง เวภาระ) ให้การอุดหนุน มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ
“หวังจะหาเลี้ยงชีพอยู่ในที่มิให้ต้องไปไหน ประการหนึ่ง
หวังใจจะช่วยคนโง่กว่าเราที่ไม่รู้ในเรื่องโรงศาลและกฎหมาย แลทางความให้ได้อาไศรย์เรา ประการหนึ่ง”
จากพื้นฐานนี้เองทำให้ชีวิตของเทียนวรรณพลิกผันอย่างรุนแรง
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

