
เข้าสุนัตเดย์ | เรื่องสั้น : วาริส วารินทร์กวี

เรื่องสั้น | วาริส วารินทร์กวี
1. คนหาหยวกกล้วย
ท้องฟ้าเบื้องบนคล้ายภาพวาดขนาดใหญ่ ที่จิตรกรไส้แห้งคนหนึ่งซุ่มซ่ามทำแก้วกาแฟหกเลอะเปรอะเปื้อนงานศิลปะที่ไม่มีใครได้เห็นนอกจากตัวเขาเอง ยะหยากำลังยืนมองสะพานที่เป็นพรมแดนแบ่งระหว่างอำเภอควนกาหลงกับอำเภอมะนัง กลุ่มควันจากโรงงานผลิตปาล์มน้ำมันพวยพุ่งออกจากปล่องถ่ายของเสียซึ่งมันค่อยๆ แทรกตัวสู่เวิ้งอากาศ เปรียบได้ดั่งควันบุหรี่ของจิตรกรคนเดิม
คลองลำโลนคดเคี้ยวเลี้ยวไปมาและเงียบงัน คล้ายงูยักษ์ชราภาพที่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ครั้งหนึ่งเคยเกือบมีการจะทำแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ล่องแก่งชมธรรมชาติ แต่แล้วภาพฝันความเจริญเหล่านั้นเป็นเพียงนิยายพาฝันของนักการเมืองท้องถิ่นเท่านั้น บัดนี้คลองลำโลนจึงนอนโซ คอยรองรับน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมอย่างจำนน
ความจริงยะหยาควรนอนให้สบายอยู่ที่บ้าน เวลาพลบค่ำเช่นนี้ไม่ใช่เวลามาหาต้นกล้วยเถื่อน แต่เมื่อนูหรีเข้าสุนัตของน้องชายถึงขั้นต้องเชือดวัวแกง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือหยวกล้วยและต้องเป็นหยวกกล้วยเถื่อนเท่านั้น
“ห้าสิบต้นบ่าว น้อยหวานี้แกงโหรงเหรง” เสียงของมะกำชับ ลอยมา
การจะฟันต้นกล้วยได้ถึงห้าสิบต้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มือของยะหยาถูกสงวนไว้เขียนกระดานสอนนักเรียนเท่านั้น หากไม่ได้ฉูอาหมีดอีกคน เขาคงแบกกระสอบต้นกล้วยขึ้นตลิ่งคลองไม่ไหว
ระหว่างขอบคลองและสายน้ำนั้น ห่างกันประมาณหนึ่งความสูงของมาตรฐานชายไทย แต่น้ำคลองในชนบทกลับแห้งขอด ในรายวิชาสังคมศึกษาของยะหยาคงอธิบายถึงฤดูกาลที่ผันแปรตามวันเวลา “คนหวางนี้มันร้าย ถมทางน้ำสร้างอาคาร สูบทรายไปขาย ล้มไม้ใหญ่ขวางทางน้ำแล้วทิ้งไว้อย่างนั้น บ่าวลองแลคราบดำริมขอบตลิ่งนั่น” ฉูอาหมีดชี้ให้เขาดู
“เห็นม้ายล่ะนั่น คราบของเสียจากโรงงานทั้งเพนิ ” ยะหยาเห็นแล้วเกิดความปั่นป่วนในช่องท้อง ภาพที่เห็นราวธรรมชาติกำลังร้องไห้เงียบงัน “เห็นเขาว่าโรงงานเอื้อต่อสิ่งแวดล้อม ปลูกต้นไม้ทดแทน อนุรักษ์สัตว์ป่า มอบเงินบริจาค” ครูหนุ่มโยนหินถามทาง
“เบล้อมันนิ ตบหัวแล้วลูบหลัง บนฟ้านั้นไม่ใช่เมฆ คือควันของเสีย เราสูดดมกันทุกวัน แบบนี้โรงงานคงต้องเปลี่ยนปอดให้เราใหม่ แล้วเรื่องปลูกต้นไม้ทดแทนนั้น แทนกันได้เห้อ ในเมื่อบ้านเราล้มพินาศ แล้วไปปลูกต้นไม้ที่แผ่นดินอื่น แบบนี้ทำบุญหรือทำบาป”
อาการมวนท้องของยะหยาเริ่มทวีคูณยิ่งขึ้นเมื่อฉูอาหมีดพรรณนาให้เห็นของวิถีชนบทมุมหนึ่งที่กำลังถูกฝูงปลวกแทะเล็ม
นํ้าคลองยังคงไหลเอื่อย ในกระสอบเต็มไปด้วยหยวกกล้วยเถื่อนห้าสิบกว่าต้น ยะหยากับฉูอาหมีดต้องช่วยกันแบกกระสอบขึ้นไปบนตลิ่งคลอง ผ่านสวนทุเรียนหมอนทอง และลองกอง ทำให้ยะหยานึกไปถึงคำข้าวที่แขกเคี้ยวกลืนในงานนูหรี
จะมีใครรู้บ้างไหม ว่าหยวกเนื้อขาวที่คนชอบเขี่ยทิ้งในถ้วยแกงวัวนั้น กว่าจะได้มานั้นยากเย็นแสนเข็น “ฮายว่าเสดสานิ หยวกกล้วยเถื่อน ไม่มีใครอยากอีกินกันนิ แต่มันต้องมี ไม่มีแกงจะโหรงเหรง” ฉูอาหมีดบ่นพลางแบกกระสอบไว้บนบ่า
ท้องฟ้ากำลังทอแสงสีส้มแสดราวกับว่านี่เป็นฉากสุดท้ายของมหรสพที่แสนอ่อนล้าของนักแสดงหน้าเวที เสียงของสรรพสัตว์ริมคลองเริ่มแผดเสียง ตั้งแต่เขียด จิ้งหรีด นกควัก และอื่นๆ บางครั้งความมืดจะทำให้ยะหยาคิดกลัวไปไกลถึงความลี้ลับชวนพิศวงของคลองลำโลน
ชายฉกรรจ์ทั้งสองขับรถขึ้นจากเนินเล็กๆ พร้อมวัตถุดิบสำคัญในแกง สำหรับเลี้ยงแขกในงานเข้าสุนัตของน้องชายในวันรุ่งขึ้น ยะหยาจินตนาการถึงนูหรีพรุ่งนี้ที่ต้องมีแขกเหรื่อมากมาย “ไม่รู้พรรค์พรือ หล่าวตอนเช้า” เสียงกังวลของครูหนุ่ม ขณะเลี้ยวรถผ่านโค้งทวดงูตรงหัวสะพาน “ค่อยว่ากันตอนเช้า วันนี้หลบบ้านนอนกอดเมียดีหวา” ฉูอาหมีดอำหลานชาย รอยยิ้มจึงผุดขึ้นบนใบหน้าของยะหยา
รถแล่นสู่เขตหมู่บ้านบูเก็ตอุได บางจุดมีหลุมบ่อ หยวกกล้วยเถื่อนโครงเครงไปมา ยะหยาจึงต้องขับช้าๆ ระมัดระวังอย่างยิ่ง กลัวพระรองในแกงจะบอบช้ำ
2. บ้านนูหรี
เสียงอะซานดังกังวานแว่ว ปลุกผู้คนให้ตื่นจากการหลับใหล ขึ้นมาทำละหมาดเวลาย่ำรุ่งของวันใหม่ เพื่อความบารอกัตของชาวหมู่บ้านบูเก็ตอุได ยะหยาแง้มประตูย่างเท้าอย่างเชื่องช้าเหมือนกระจงป่าที่คอยระแวดระวังผู้ล่า น้ำจากคลองลำโลนเย็นยะเยือก ชายหนุ่มนึกไปถึงก้อนหินที่หลับใหลในยามค่ำคืน สายน้ำถูกดูดขึ้นมาใช้ผ่านการเดินทางท่อพีวีซี การจะถึงเนินบ้านคงทำให้ความเย็นเบาบางลงบ้าง แต่เปล่าเลยเมื่อน้ำไหลสัมผัสผิวเนื้อในเวลาย่ำรุ่งเช่นนี้ ยะหยาต้องสั่นสะท้านทุกทีไป
ความจริงนอกจากเสียงอะซานแล้ว ยังมีเสียงเครื่องขูดมะพร้าวของโต๊ะเต๊ะฉำกำลังร้องลั่นช่วยปลุกให้เขาลุกขึ้นทำอีบาดัต ญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงกำลังทยอยเดินทางมาสู่บ้านเจ้าภาพ
สัปดาห์ที่แล้วครูหนุ่มผู้ไร้ซึ่งคู่ครองอย่าง ยะหยา มูบารัค อยู่ในช่วงโรงเรียนปิดภาคเรียนได้สามวันเขากำลังนั่งแทะน่องไก่ทอดในร้านฟาสต์ฟู้ดผู้พันแซนเดอร์ สาขาบิ๊กซีสตูล มะโทร.มาแจ้งข่าวน้องชายคนสุดท้องจะเข้าสุนัต พิธีสิริมงคลตามแบบฉบับอิสลาม
เดิมทียะหยาขอต่อรอง ขอไปร่วมในวันล้มวัวแกงเครื่อง ผัดหมี่แดง และอาจาด แต่ป๊ะทำท่าคอตกเหมือนไก่ติดโรค มะจึงโทร.มาอีกครั้งว่าให้มาโดยทันที ให้เหตุผลว่าไม่มีใครช่วยป๊ะทำโรงครัว ไม่มีใครช่วยปอกมะพร้าว
และยังไม่มีหยวกกล้วยเถื่อนใส่ปนในแกงวัว
ยะหยาเพิ่งรับราชการในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดมาหยกๆ ทำไมต้องเอามือสำหรับสอนหนังสือมาละเลงในงานบุญอีก นั่นมันงานของคนจนตรอก ทั้งเหนื่อยและหนัก ไม่ขึ้นควน กรีดยางก็แทงปาล์มจ้าง
หากเขาไม่แหกเลนสอบเข้า ม.ทักษิณ วิทยาเขตสงขลา 5 ปี จบออกมา ต้องขยันอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ จนสอบบรรจุได้ แต่มะกับป๊ะกลับไม่เห็นความสำคัญเรื่องนี้เลย เงินก็ส่งให้ทุกเดือนไม่เคยขาด มือของเขาควรถูกสงวนไว้เพียงแต่ทำงานที่ไม่ใช้แรงมิใช่หรือ
ยะหยาเดินออกจากบ้านสู่ลานทรายที่มีจำปาดะยืนต้นใหญ่ ซึ่งมีเงาดำจากความมืดก่อนแสงแรกมาเยือน เมื่อสายลมเย็นยามเช้าล่องไหลมาจากควนนกควักทางทิศตะวันออก เหนือเส้นขอบฟ้ายังมีดาวเหนือเป็นประกายวาววับอย่างโดดเด่นแต่โดดเดี่ยว แม้นี่อาจเป็นความสวยงามในยามเช้าของหมู่บ้านบูเก็ตอุได แต่ยะหยากลับรู้สึกเกลียดชังวาบขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ อาจเป็นเพราะเขาถูกขโมยวันหยุดอันแสนสงบไปจากมือ มันถูกยื้อแย่งไปทั้งๆ ที่เขาไม่เต็มใจ
โต๊ะเต๊ะฉำกับฉูอาหมีดนั่งขูดมะพร้าวอยู่ก่อนแล้ว แต่มะพร้าวที่ฉีกไว้ยังไม่มีใครปอกคงไม่ต้องสาธยาย หน้าที่ตรงนั้นตกเป็นของยะหยาทันที บางสิ่งบางอย่างที่เขาเคยทำได้ก็ทำไม่ได้อีกแล้ว อย่างเมื่อก่อนสมัยที่ชายหนุ่มยังเรียนอยู่ เวลาปิดเทอมจะเดินแบกกระสอบเดินตามป๊ะมะขึ้นลุยดงป่าบนควนนกควักอย่างไม่กลัวงูเลี้ยวเขี้ยวขอใดๆ แต่พอได้เป็นครูขึ้นมา กลับบ้านตรงกับป๊ะมะต้องขึ้นไปเอายางก้อนในจอกลงมาขาย แต่เขากลับไปช่วยไม่ได้เสียแล้ว
ครั้งหนึ่งที่มะเคาะประตูห้องยะหยาบอกสั้นๆ ว่า “ไม่ไปแล้วเหนื่อย เป็นครูภาระเยอะแล้ว” หลังจากนั้นไม่มีอีกที่ป๊ะมะเอยปากขอช่วยแรง จนถึงครั้งนี้
“ปลอกแล้วใส่สอบ สอบละสิบห้าหนวย” ฉูอาหมีดบอกหลานชาย
ฉูอาหมีดเป็นน้องสุดท้องในบรรดาพี่น้องฝั่งของป๊ะ ความจริงแกอายุมากกว่ายะหยาเพียงสองปี แต่ด้วยต้องกรำงานหนัก ตัดปาล์มจ้าง กรีดยางควน เลี้ยงวัวฝูง ฉูอาหมีดเคยบอกว่าชีวิตแสนสนุกขาดสะบั้นลงเมื่อกล่าวรับคำนิก๊ะห์ ต้องรับผิดชอบชีวิตหญิงอีกคน จนตอนนี้ฉูอาหมีดมีลูกสามคน แน่ล่ะนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกหากแกจะหน้าดำกร้านแดดกร้านลม
แดดอ่อนๆ ของยามเช้าค่อยๆ ชโลมไล้ต้นหญ้าจากขอบถนนหน้าบ้าน ทอดยาวมาทาทาบใบละมุดของบ้านโต๊ะชาย รวมไปถึงตะไคร้ คะน้า พริกขี้หนู ผักกาดขาวที่มะปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบ เครือญาติผู้หญิงในซอยเริ่มทยอยมาพร้อมมีดกับเขียง ส่วนญาติที่เป็นผู้ชายนั้นมาแต่ตัวและยาเส้นใบจาก ส่วนไฟแช็กนั้น ตามสูตร ยืมของเพื่อนเอาดาบหน้า ชายฉกรรจ์ชาวหมู่บ้านนี่เป็นมานานเรื่องไฟแช็กหายในงานบุญ นับรวมอยู่ในปัญหาระดับท้องถิ่นทีเดียว
“งานใหญ่ๆ คนชายๆ ทำกินหรอย โบ้หญิงๆ เขาให้ล้างชามล้างถ้วยโด้” ง๊ะบีศ็อล โวพลางอัดใบจากเข้าปอด พุงหมาน้อยของแกแม้จะพันผ้าขาวม้าไว้ แต่ดูยังไงก็เหมือนไอ้เท่งไม่มีผิด
แคแร็กเตอร์ของแกนี่แหละที่ทำงานไม่กร่อย
อีกด้านหนึ่งริมถนนหลังต้นมังคุด ป๊ะและชายหนุ่มอีกสี่คนกำลังล้มวัวเพื่อเชือด “มัดให้แน่นเดี๋ยวมันถีบกู” ป๊ะสำทับกับบ่าวยาโรยเรื่องการมัดเชือก ไม่อย่างนั้นคนเชือดจะเดือดร้อน “ชับบึดแล้วบังเอ้อ แน่นขนาดนี่ช้างถึกก็ดิ้นไม่หลุด” ชายหนุ่มยืนยันด้วยความมั่นใจ
ยะหยาได้แต่เดินเลียบๆ เคียงๆ ไม่กล้ามองการเชือดสัตว์พลีต่อหน้าต่อตา แม้แต่ไก่สักตัวก็ตาม ยะหยาคิดว่าพันธุกรรมชีวิตของเขาถูกตัดต่อ ไม่ต่างอะไรจากผลไม้จีเอ็มโอ ตั้งแต่ป๊ะกับมะส่งให้เรียนอย่างเดียว อย่างอื่นที่หนักหนาอย่างที่คนรุ่นป๊ะเคยทำมานั้นเขาไม่เคยได้สัมผัส จะมีบ้างแค่ช่วยงานในสวน
สมัยอดีตบ้านลำบาก ป๊ะแต่งงานกับมะตอนอายุสิบเก้าปี ป๊ะต้องเป็นลูกเรือหาปลาไปทั่วน่านน้ำ บางครั้งต้องข้ามไปทะเลของประเทศเพื่อนบ้าน ไม้ยางป๊ะเคยแบกมาแล้ว ปาล์มก็เคยตัด รับจ้างถางสวนป๊ะเอาหมด มาถึงรุ่นของยะหยาป๊ะบอกว่า “ให้มึงตั้งใจเรียนนิ กูส่งให้มึงจบ อย่างอื่นอย่าได้กังวล” บางทีนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าซาบซึ้ง และตลกร้าย เมื่อยะหยาต้องเข้าอบรมผู้กำกับลูกเสือสามัญ เขากลับก่อไฟเท่าไหร่ก็ไม่ติด เมื่อไฟเริ่มเลียฟืน เขารีบเป่าสะเก็ดไฟฮือเข้าเต็นท์ของผู้บังคับการค่ายลูกเสือ สรุปครั้งนั้นเขาต้องเรียนซ่อม และจ่ายเงินค่าเต็นท์ให้ท่านผู้บังคับการอีกต่างหาก
“บ่าวเอาติกน้ำร้อนไปเสียบให้ที แขกเริ่มมาช่วยงานแล้ว” มะตะโกนมาจากกลุ่มแม่บ้านที่กำลังหั่นเนื้อ ยะหยารู้ดีว่าหลังจากที่เขาสอบบรรจุได้เป็นครูในจังหวัด มะภูมิใจในตัวเขาจนออกหน้า มีอะไรจะเรียกใช้เขาตลอด ยิ่งเวลาไหนที่ชาวบ้านนั่งคุยกันเยอะ มะจะเรียกใช้ยะหยาเป็นคนแรกเสมอ
ทุกครั้งชาวบ้านจะถามว่านี่ลูกบ่าวใช่ไหม บรรจุที่ไหน เงินเดือนเท่าไหร่ มีคู่ครองแล้วหรือยัง ในวินาทีนั้นแหละ ในดวงตาของมะจะปรากฏเป็นท้องทุ่งแห่งดวงดาวที่เปล่งประกายเสมอมา
3. ตัดแขก
ลมจากเชิงควนนกควักโรยตัวลงมาจากยวงเมฆขาวหลายก้อน ดั่งสายไหมในงานเมาลิดไม่มีผิด ยะหยาไม่ถูกกับเลือด เห็นทีไรต้องตัวเย็นแล้วล้มพับหลับไปทุกที ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาวิชาทหาร เมื่อมีการบริจาคเลือดเพื่อเก็บชั่วโมงจิตอาสา ยะหยาได้ครึ่งถุงหน้ามืด ตัวเย็นเหมือนถูกแช่ห้องฟรีซ เจ้าหน้าที่ต้องยุติทุกทีไป
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป บูเก็ตอุไดก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ผู้คนตั้งแต่สมัยอดัมมนุษย์คนแรกจนตอนนี้ นิสัยมนุษย์ไม่ว่าอยู่มุมไหนของโลกต่างมีรัก โลภ โกรธ หลง ริษยา นินทา ฉ้อโกง ไม่ต่างกัน เพราะโลกใบนี้ไม่ใช่ยูโทเปีย และดิสโทเปีย อย่างใดอย่างหนึ่ง มันคือส่วนผสมคละเคล้าด้วยกัน เรื่องนี้ยะหยารู้ดี
พลันที่เขาปล่อยจินตนาการเพลินๆ อยู่นั่นเอง “บ่าวหยา ตอเดี๋ยวลูกพาน้องไปทีนะ เอารถเก๋งพาน้องยะโกบไปตัดแขกด้วย” คนเป็นแม่ขอแรงลูกชาย แล้วหันกลับไปนั่งหั่นเนื้อวัวต่อ
ความจริงน่าจะเป็นคนอื่น คนที่ไม่กลัวเลือด เป็นใครก็ได้ หวาอาบูก็มีกระบะสี่ประตูตั้งคัน หยังซากีย์ก็มีรถเก๋ง แม้จะเป็นมือสองก็พาน้องชายไปตัดแขกได้ สุเหร่าประจำหมู่บ้านห่างจากบ้านเพียง หกร้อยเมตรเท่านั้น อัลล่ะมะ! เสียงอุทานด้วยความแห้งแล้ง บ่งบอกถึงความรู้สึกของครูหนุ่มป้ายแดง แถมมีรถฮอนด้าซีวิคป้ายแดง แห่งหมู่บ้านบูเก็ตอุไดซะด้วยสิ
ญาติพี่น้องทุกคนอยู่ในอากัปกิริยาที่กำลังหยิบจับนู่นนี่ ไม่มีใครทำตัวว่างพอให้ยะหยาชวนไปเฝ้าน้องชายเลยสักคน เขาจึงดุ่มเดินเข้าห้องนอนไปคว้ากุญแจรถโดยไม่มองใครระหว่างทางเดินสักคน ขณะพายุอารมณ์กำลังจะโหมให้ไฟในใจลุกลามอยู่นั้น มีนกบินหลาขี้ควายตัวหนึ่ง กำลังกระโดดไปมาระหว่างก้านกิ่งของต้นมะยมหลังบ้าน แล้วจินตนาการของยะหยาก็เพลิดเพลินอีกครั้ง
บินหลาเห้อ มึงโร้ดี ว่าชนบทมันไม่โรแมนติกอีกแล้ว ไม่เหมือนตอนเราเป็นเด็กอะไรๆ ต่างสวยงามไปหมด ไม่ต้องคิดอะไรให้รกสมอง ชีวิตมีแต่โดดน้ำคลอง ดักนกกินน้ำ ตีผึ้ง ตกปลาในลำห้วย หรือว่า… แล้วจินตนาการของเขาก็หยุดกึกลงชั่วคราวเมื่อญาติผู้หญิงฝ่ายป๊ะซึ่งนั่งทำอาจาดกำลังพูดว่า ลูกสาวของหล่อนเรียนดีอย่างนั้นอย่างนี้ ค่าเทอมแพงหูฉี่แต่ก็ยังส่งเรียนได้
บินหลาเห้อ หรือว่าที่ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้ เพียงแค่เราข้ามเส้นมาอยู่ในวัยผู้ใหญ่แล้ว ดอกไม้ที่ห้อมล้อมเราไว้ถึงกาลอวสาน และจินตนาการของเราก็ถูกบดขยี้ นกบินหลาขี้ควายตัวนั้นไม่ตอบบทสนทนาในห้วงจินตนาการของยะหยา มันใช้จะงอยปากจัดแต่งปีกครู่เดียว แล้วโผบินจากไป ทิ้งให้ยะหยายืนคว้างตรงบานหน้าต่าง แต่เขามีหน้าที่ที่ต้องทำในฐานะลูกของป๊ะมะ และพี่ชายของน้องอีกสองคน
อาคารอเนกประสงค์ของมัสยิดบูเก็ตอุไดถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยสำหรับพิธีเข้าสุนัตวันนี้ มีชายสองคน เป็นหมอและผู้ช่วยหมอ กำลังจัดแจงอุปกรณ์ ยะโกบได้คิวแรกจากทั้งหมดหกคน
ต้นกระท้อนหวานข้างศาลาอเนกประสงค์กำลังออกผลสุกสีเหลืองทอง บ้างก็ร่วงอยู่ใต้โคนต้น บ้างก็ห้อยอยู่กับกิ่งของมันคล้ายดวงไฟเล็กๆ ส่องแสงสว่างตอนกลางวัน ซึ่งไม่มีใครสนใจ ยกเว้นเหล่าเด็กๆ ที่มามุงดูเพื่อนร่วมหมู่บ้าน
เมื่อได้เวลา หมอก็เรียกชื่อ เด็กชายยะโกบ มูบารัค พี่ชายก็เดินประคองร่างน้องชายไม่ห่าง “นี่คนนี้ป๊ะใช่ม้าย” หมอเข้าใจผิดเพราะช่วงวัยของทั้งสองห่างกันจนเข้าใจว่าพี่ชายเป็นพ่อของยะโกบ “ม้ายครับ นี่น้องบ่าวผมนิ” ยะหยายิ้มเจื่อนๆ เพราะรู้ว่าสิ่งที่รออยู่ข้างหน้านั้นคือ เข็มฉีดยา มีดหมอ กรรไกร เข็มเย็บที่เหมือนกับตาเบ็ดไว้ตกปลาในห้วยบันตุงไม่มีผิด ทั้งเลือด ผ้าพันแผล น้ำตาและเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ยะหยาเคยผ่านมาแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อน
ระหว่างรอการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศอยู่นั้น ยะหยาแทบไม่เหลียวมองน้องชาย จุดโฟกัสอยู่ที่ลูกกระท้อน เพียงมือเท่านั้นที่ลูบหัวยะโกบอยู่เป็นระยะ เพราะมีเสี้ยวหนึ่งที่เขาหันไปมองอวัยวะเพศของน้องชาย มันชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสด เขาแทบลมจับทำท่าหัวโงนเงนคล้ายตุ๊กตาล้มลุกในวัดจีน ยังดีที่มียาดมตราหงส์ไทยติดมือมาด้วย
ขณะที่ยะโกบนอนปิดตา เขตสงวนของเขาไร้ความรู้สึกไปแล้ว เมื่อผ่านการฉีดยาชาไปสามเข็ม “อัลฮัมดูลิลล่ะ น้องบ่าวเก่งหนัดไม่ร้องสักแอะ” ยะหยาได้ยินเช่นนั้นจึงลดสายตาลงพร้อมลมหายใจที่พรูออกมา โล่งอกไปสักที เขาคิด
ขณะซีวิคป้ายแดงของเขาเลี้ยวจอดใต้ต้นลางสาดหน้าบ้าน ชาวญาติแห่งบูเก็ตอุไดเพ่งสายตามองมาที่น้องชาย ไม่ต่างจากยานอวกาศลงจอด เขาอุ้มน้องชายเข้าบ้าน ขณะมีเสียงทักทายทำนองว่า
“ยะโกบร้องม้าย”
“เก่งหนัดลูกบ่าวซาบีด๊ะ”
“ผ่านจริงลูกบ่าวยะฝาดคนนี้”
“ได้เบี้ยขะลุยแน่ค่อยท่าแล”
ยะหยาเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียแล้ว ไม่รู้อะไรอีก เขาเหนื่อยเต็มกลืน พอกันที เมื่อวางน้องชายลงบนแคร่ กดเปิดพัดลมเบอร์สามให้หมุน คนที่ต้องมารับงานต่อก็คือมะ
4. ขุนโจรแกงถุง
สายลมเบาบางพัดมาจากคอกแพะของโต๊ะชาย ขี้แพะแห้งๆ โชยกลิ่นอบอวลในวงแขกเหรื่อ “ด๋อยฝนมันไม่ตกน้อ” โต๊ะชายพูดกลบเกลื่อนเพื่อไม่ให้มีใครทักเรื่องขี้แพะของแกเล่นงานจมูก
หลังจากบรรดาผู้รู้อ่านบทสรรเสริญจบแล้ว ท่านเหล่านั้นก็จะได้รับเกียรติได้ทานอาหารก่อนใครเพื่อน เพื่อความเป็นสิริมงคล ยะหยานั่งทำตาปริบๆ หันมองน้องชายที่กำลังนอนเล่นเกมอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ พลางมองโต๊ะครูและผู้นำทางจิตวิญญาณ ส่วนมากท่านเหล่านั้นเป็นผู้น่าเคารพ บ้างเป็นโต๊ะครูโรงเรียนปอเนาะศึกษา ความแม่นยำในเรื่องพระวจนะของพระเจ้าและแบบอย่างที่ดีของท่านศาสดา แต่ก็มีบุคคลที่แอบแฝงมาทำทียกมือกล่าวดุอา ร่วมอ่านอัลกุรอ่านในบางซูเราะห์ โดยการทำปากมุบมิบเนื่องจากแสบท้อง ที่บ้านเมียไม่ทำให้กินเพราะถือว่าฝากท้องไว้กับบ้านนูหรีแล้ว
มีเด็กหนุ่มๆ ช่วยยกข้าวยกน้ำให้แขกถือว่าพอเบาใจ เพราะหนุ่มน้อยได้การตอบแทนคือแขกบางคนลูกสาวปิดเทอม จึงพามาร่วมงานด้วย คราวนี้แหละเด็กหนุ่มบ้านงานกระชุ่มกระชวยขึ้นมากทีเดียว แต่เรื่องราวรักในบ้านงานนั้นยะหยารู้ดีว่าเปรียบเสมือนยืนมองดาวตก งดงามแต่ชั่วคราว
ในตำแหน่งงานคนตักแกงเท่านั้นที่ได้นั่งอยู่กับที่และรู้สึกว่าสบายกว่าคนล้างถ้วยชามเป็นไหนๆ แต่ตำแหน่งนี้หากไม่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของงาน ก็อาจทำให้งานบรรลัยได้ ยะหยาสังเกตมาหลายครั้ง การจัดงานแบบนี้ แกงจะหมดเร็ว ด้วยความวุ่นวายป๊ะกับมะไม่เคยได้เฝ้าหม้อแกง ขืนไปยืนเฝ้ามีหวังถูกตราหน้าว่าเจ้างานขี้เหนียวเอาง่ายๆ
ยะหยาเดินไปเดินมาในงานเผื่อใครเรียกใช้ จึงมีเวลาวิเคราะห์ หน้าที่การตักแกงถูกมอบหมายให้ผู้หญิง จะว่าไปก็เครือญาติพี่น้องกันทั้งหมดนั่นแหละ แต่ในบรรดาเจ้าแม่นักตักแกงถุงที่อันตรายที่สุด คือ โต๊ะตำเสี๊ยะ หญิงวัยหกสิบสามปี ฉายามือทองคำ นางไปงานไหนเจ้าภาพต้องระวัง
“เราให้แขกกินให้เสร็จก่อนนะ อย่าตักหลบบ้าน” โต๊ะตำเสี๊ยะขึงขังทำเสียงดัง กำชับให้แขกที่มางานบุญได้ยินกันถ้วนทั่ว แต่จะมีแขกคนไหนบ้างที่จะอ่านเกมขาด ยะหยาเฝ้ามองงานบุญในบ้านของตัวเองมาตั้งแต่ต้น เจตนาเพื่อร่วมบุญแต่จะกลายเป็นการร่วมบาปเสียง่ายๆ
นั่นนับเป็นกลยุทธอันแยบยลของโต๊ะตำเสี๊ยะที่ต้องระวัง เมื่อมือทองคำของแกพกถุงแกงมาจากบ้าน ตักแกงแล้ววางไว้ฝากหลานให้เดินไปเก็บงาน เด็กเล็กๆ ไม่มีใครสังเกต ยิ่งเดินลัดเลาะไปตามขอบสวนยางพารา ยิ่งคล้ายภูตน้อยที่คอยรับใช้ท่านเคาต์แดร๊กคิวล่า
เหตุการณ์ชุลมุนเหล่านี้นับว่าเป็นปัญหาระดับรากหญ้าไล่เรียงจนไปถึงระดับประเทศ ไม่ว่าที่ไหนๆ ล้วนมีคนฉวยโอกาสอย่างโต๊ะตำเสี๊ยะกันทั้งนั้น
“บ่าวยกแกงไปให้โต๊ะนั้นที” นักตักแกงมือทองคำวาดนิ้วไปยังโต๊ะปลายทาง “แขกมาแล้ว ฝากแลกันเจ้าบ้าน อย่าเที่ยวยืนทำหล่ออยู่” แกหัวเราะพลางเช็ดน้ำหมาก พลางลูกคู่ซ้ายขวาก็ช่วยกันฮาครืน
ยะหยาเดินลำเลียงแกงวัวใส่หยวกกล้วยเถื่อนให้แขก เสี้ยวนาทีครูหนุ่มหลับตานึกถึงถุงแกงใบใหญ่ ซึ่งโต๊ะตำเสี๊ยะเหน็บไว้ที่เอว แกอาจจะใช้จังหวะนี้ตวัดจวักให้รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ยะหยาปล่อยลมหายใจพรูออกมาด้วยความโรยแรง ชายหนุ่มเสมือนได้ยินเสียงสายฟ้าฟาดเปรี้ยงในทรวงอก เมื่อคิดว่ามะคงต้องวิ่งหาเนื้อวัวมาแกงเพิ่มอีกตามเคย